ผลสำรวจล่าสุดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก (New York Fed) พบว่า วัยรุ่น Gen Z ชาวอเมริกัน ราว 1 ใน 7 คน (15.3%) มียอดหนี้บัตรเครดิตเต็มวงเงิน ซึ่งถือเป็นสัญญาณของปัญหาทางการเงินที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับ Baby Boomer ที่มีเพียง 4.8% และ Gen X ที่ 9.6%
แอเรียล บาร์นส์ วัย 28 ปี เป็นหนึ่งในตัวอย่างของผู้ที่ประสบปัญหานี้ เธอมีหนี้บัตรเครดิตสูงถึง 30,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1 ล้านบาท) จากการใช้จ่ายเกินตัวในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้เธอต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวและต้องเลื่อนแผนการสำคัญในชีวิตออกไป
สถานการณ์หนี้สินของชาวอเมริกันกำลังน่าเป็นห่วงมากขึ้น โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต ยอดค้างชำระเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากลดลงในช่วงโควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 10.7% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012
โดยรายงานล่าสุดของ New York Fed นั้นชี้ว่า ชาวอเมริกันมีหนี้บัตรเครดิตรวม 1.12 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 40.6 ล้านล้านบาท
แม้ว่าตลาดหุ้น Wall Street จะทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่ชาวอเมริกันหลายล้านคนกำลังดิ้นรนกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาหาร น้ำมัน และที่อยู่อาศัย อีกทั้งผู้ถือบัตรเครดิตจำนวนมากขึ้นกำลังแบกหนี้เป็นเดือนต่อเดือนหรือล่าช้าในการชำระเงินตามรายงานแยกต่างหากของ Bankrate ตั้งแต่เดือนมกราคม
“อัตราเงินเฟ้อที่สูงและอัตราดอกเบี้ยที่สูงมีส่วนสำคัญต่อภาระหนี้สินของชาวอเมริกันและทำให้หนี้นี้ชำระได้ยากขึ้น” เท็ด รอสส์แมน นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาวุโสของ Bankrate กล่าว
นักวิเคราะห์มองว่า การที่ Gen Z มียอดหนี้บัตรเครดิตเต็มวงเงิน เป็นเพราะพวกเขามีวงเงินสินเชื่อที่ต่ำกว่าคนรุ่นอื่น เนื่องจากยังไม่มีเวลาสร้างประวัติและคะแนนเครดิตที่มากพอ
New York Fed พบว่า ผู้กู้ยืมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีรายได้น้อยมีแนวโน้มที่จะมียอดหนี้บัตรเครดิตเต็มวงเงินมากกว่า โดยประมาณ 12% ของผู้กู้ยืมที่อาศัยอยู่ในย่านที่มีรายได้ต่ำที่สุด 25% มียอดหนี้เต็มวงเงิน ซึ่งมากกว่าสองเท่าของ 5.5% ของผู้กู้ยืมที่อาศัยอยู่ในย่านที่มีรายได้สูงที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า มีวิธีแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าติดอยู่ในกับดักหนี้บัตรเครดิต เช่น การโอนหนี้บัตรเครดิตที่มีดอกเบี้ยสูงไปยังบัตรโอนยอดคงเหลือที่เสนอดอกเบี้ย 0% นานถึง 21 เดือน, การขอคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่ไม่แสวงหาผลกำไร หรือการมองหาวิธีเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์หนี้บัตรเครดิตที่ตึงเครียดของชาวอเมริกันบางส่วนนี้อาจเป็นปัจจัยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไปอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อแย่ลง แต่การรอช้าเกินไปอาจสร้างแรงกดดันต่อผู้กู้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากตลาดงานชะลอตัวและผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องดิ้นรนหางานทำ
อ้างอิง: