นอกเหนือจาก Galaxy S21 Ultra ที่ทาง Samsung ได้เปิดตัวออกมาในครั้งนี้ Galaxy S21 ยังมาพร้อมกับอีก 2 โมเดลให้เลือก คือ S21 และ S21+ ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้จะมาพร้อมกับความสามารถในการรองรับเทคโนโลยี 5G เหมือนกับตัวท็อป Galaxy S21 Ultra
Samsung Galaxy S21 และ S21+ มาพร้อมกับจอแสดงผลแบบ Dynamic AMOLED 2X Infinity-O (อัตราการรีเฟรชที่ 48-120Hz) ขนาด 6.2 นิ้ว และขนาด 6.7 นิ้ว ตามลำดับ รวมถึงเทคโนโลยีแบบ Eye Comfort Shield ที่จะช่วยปรับตัวกรองแสงสีฟ้าให้กับผู้ใช้งานอัตโนมัติตามช่วงเวลาของวัน และเนื้อหาที่ปรากฏบนหน้าจอ ความสว่างจออยู่ที่ 1300 nits
จุดเด่นของ Galaxy S21 และ S21+ คือดีไซน์กรอบกล้องหลังแบบใหม่ ‘Contour Cut’ ซึ่งเป็นกรอบโลหะที่ตัวกรอบจะขนานไปกับตัวเลนส์กล้อง เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง, ทนทาน, ความสวยงาม และโดดเด่นตัดกับสีตัวเครื่อง (เฉพาะสีไฮไลต์) ตัวเครื่องมีให้เลือกหลายสี ได้แก่ Phantom Violet (สีไฮไลต์), Phantom Pink, Phantom Gray ในโมเดล Galaxy S21 และ Phantom Violet, Phantom Silver และ Phantom Black ในโมเดล Galaxy S21+
ตัวเครื่องกล้องหน้าอยู่ที่ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหลังเลนส์ 3 ตัว เลนส์ Ultra Wide และ Wide ที่ 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ Tele ที่ 64 ล้านพิกเซล ซูมแบบ Space Zoom ได้สูงสุดที่ 30 เท่า ถ่ายวิดีโอคมชัดระดับ 8K และยังแคปภาพจากวิดีโอ 8K ได้ชัดขึ้น
รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ Director’s View แสดงมุมมองที่หลากหลายก่อนถ่ายวิดีโอจริง ช่วยให้ผู้ใช้เลือกเปลี่ยนเลนส์ได้ง่ายๆ รวมถึง Vlogger View ที่สามารถถ่ายวิดีโอกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมๆ กันได้ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องถ่ายคอนเทนต์แบบ Vlog อยู่เป็นประจำ
ส่วนขนาดแบตเตอรี่อยู่ที่ 4,000 mAh (S21) และ 4,800 mAh (S21+) มีหน่วยความจำให้เลือก 2 แบบ คือ 128GB และ 256GB แต่ไม่รองรับ S Pen เหมือนในโมเดล Galaxy S21 Ultra โดยราคาจำหน่ายรุ่น S21 เริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 24,000 บาท ส่วน S21+ เริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 30,000 บาท ซึ่งจะเริ่มต้นวางจำหน่ายวันที่ 29 มกราคมนี้ ส่วนราคาและกำหนดการวางจำหน่ายในไทย รอประกาศจาก Samsung ประเทศไทยอีกครั้ง
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล