ผู้นำ G7 เตรียมก่อตั้งกลุ่ม Climate Club สู้ภาวะโลกรวน

ผู้นำกลุ่มประเทศ G7 ประกาศเตรียมจัดตั้งกลุ่ม Climate Club ภายในสิ้นปีนี้ โดยมุ่งเน้นประสานความร่วมมือในระดับนานาชาติเพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกรวน

แถลงการณ์ของผู้นำ G7 ที่เผยแพร่วานนี้ (28 มิถุนายน) ระบุว่า Climate Club เป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศตามเป้าหมายของความตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งพยายามรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยจะเน้นไปที่การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก และบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050

โอลาฟ ชอลซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งเป็นเจ้าภาพการจัดประชุม G7 ในปีนี้ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า “เราวางรากฐานที่สำคัญไว้ที่นี่…เราต้องการความทะเยอทะยานมากกว่านี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศ

“เป้าหมายของเราคือ นำแนวทางทางการเมืองต่างๆ มารวมกัน การปกป้องสภาพภูมิอากาศควรมีความได้เปรียบในการแข่งขัน เพื่อจูงใจให้ประเทศต่างๆ อยากเข้าร่วมมากขึ้น” ชอลซ์กล่าว

ผู้นำเยอรมนีระบุว่า ประเทศต่างๆ มีแนวทางในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ ทุกชาติจึงควรสื่อสารกันเพื่อให้สามารถไปถึงเป้าหมายเดียวกันได้ เช่น สมาชิกในกลุ่มจะต้องตกลงกันเกี่ยวกับการกำหนดกลไกราคาคาร์บอนไดออกไซด์ หรือสร้างมาตรฐานใหม่เกี่ยวกับไฮโดรเจนสีเขียว

อย่างไรก็ตาม องค์กรด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ตั้งคำถามว่า ผู้นำกลุ่ม G7 จะสามารถทำตามที่กล่าวไว้ได้หรือไม่ อีกทั้งแถลงการณ์บางจุดยังมีข้อความที่กำกวม เช่น ไม่มีการให้คำมั่นสัญญาที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดราคาคาร์บอนไดออกไซด์ขั้นต่ำ หรือการออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อเป็นบทลงโทษแก่สมาชิกที่ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้ ทำให้กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกังวลว่า Climate Club จะเป็นอีกแพลตฟอร์มสิ่งแวดล้อมหนึ่งที่ก่อตั้งขึ้นมาแต่ไม่สามารถผลักดันให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมได้จริง ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นยังไม่มีแผนที่จะกำหนดราคาคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศอย่างจริงจัง

ชอลซ์มองว่า แม้แต่ละประเทศอาจมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปเกี่ยวกับภาษีคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถึงเช่นนั้นก็ยังมีหนทางต่างๆ อีกมากมายที่จะพาให้ทุกฝ่ายบรรลุ ‘เป้าหมายเดียวกัน’ ได้ พร้อมกล่าวว่า Climate Club จะไม่ปิดกั้นอยู่เพียงแค่สมาชิกกลุ่ม G7 เท่านั้น แต่จะเปิดกว้างให้กับประเทศอื่นๆ ที่สนใจเข้าร่วมด้วย

แฟ้มภาพ: John MacDougall / POOL / AFP

อ้างอิง: