×

เพราะชีวิตคือบททดสอบ และความสำเร็จไม่ได้วัดที่ชัยชนะ แต่วัดที่ใจตัวเอง อิสระ และแพสชันของ ‘พงศธร จอม สาลักษณ์’ จากนักการเงินสู่ผู้บริหารอสังหาฯ พันล้าน [Advertorial]

20.02.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MINS READ
  • แม้ พงศธร จอม สาลักษณ์ จะเป็นทายาทธุรกิจเกลือปรุงทิพย์ แต่เขาได้รับการฝึกฝนตั้งแต่เด็กให้รู้จักพึ่งพาตัวเอง มีความพยายาม และต่อสู้ความท้าทายต่างๆ ในชีวิต จากเด็กในวัยเพียง 8 ขวบ ที่ต้องไปใช้ชีวิตในวัยเรียนที่ประเทศอังกฤษจนถึงวัยทำงาน
  • อาณาจักรอสังหาฯ ภายใต้การดูแลของ พงศธร จอม สาลักษณ์ สร้างและสะท้อนคุณค่าที่ถูกหลอมรวมจากแนวคิดและชีวิตของเขา บวกกับแพสชันและความสามารถเต็มศักยภาพอย่างเป็นอิสระเหนือทุกข้อจำกัด

ในช่วงชีวิตของทุกคน ย่อมต้องเคยพบกับบททดสอบที่ท้าทาย เพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ และเราก็จะเติบโตขึ้นทุกครั้งหลังจากก้าวข้ามอุปสรรคนั้นมาได้ เราจึงเรียกการพิสูจน์ตัวเองเพื่อเอาชนะขีดจำกัดที่มีอย่างต่อเนื่องว่า ‘ความสำเร็จ’

 

พงศธร จอม สาลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ถ่ายทอดเรื่องราวของเขากับสำนักข่าว THE STANDARD จากจุดเริ่มต้นของเด็กไทยที่ใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมือง กลายเป็นมืออาชีพด้าน Corporate Finance ขององค์กรระดับโลก และจุดเปลี่ยนในฐานะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เชื่อในการสร้างคุณค่า ผสานองค์ความรู้เชิงบวกของโลกตะวันตกอย่างลงตัวกับวิธีคิดแบบเอเชีย ติดตามแพสชันของเขาได้ผ่านบทความนี้  

 

สู้กับศักยภาพของตนเอง จากนักกีฬาโรงเรียนสู่โลกธุรกิจสากล

แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจขนาดใหญ่อย่างแบรนด์ ‘เกลือปรุงทิพย์’ และ ‘กระจกไทยอาซาฮี’ แต่ชีวิตในวัยเด็กของพงศธรก็ไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิด พงศธรต้องพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่เด็ก ‘ดุสิต สาลักษณ์’ พ่อของเขามองเห็นศักยภาพของลูกและต้องการสร้างวิธีคิดที่แข็งแกร่ง จึงส่งพงศธรไปเรียนที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่อายุเพียง 8 ขวบ

 

 

“ผมเป็นคนจริงจังเรื่องงานและตั้งเป้าหมายในชีวิตเสมอ ผมโตมาจากครอบครัวไทย แต่ได้มีโอกาสไปเรียนและใช้ชีวิตที่เมืองนอกตั้งแต่เล็ก การไปอยู่ที่โน่นคือโลกใบใหม่ ทุกอย่างใหม่หมด และเริ่มนับหนึ่ง ผมเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมี คือความพยายามและไม่ย่อท้อ ผลการเรียนจัดได้ว่าน่าพอใจ บวกความพยายาม ก็ได้เป็นนักกีฬาของโรงเรียน จนได้เป็นกัปตันทีม ผมก็เอาแนวคิดนี้ใช้กับการใช้ชีวิตด้วย บางครั้งคุณอาจจะสอบหรือแข่งกีฬาได้ที่ 1 หรือที่ 2 หรืออาจจะไม่ชนะเลย แต่สำคัญตรงที่คุณได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว เต็มกำลังที่มี เท่ากับคุณชนะตัวเองแล้ว”

 

พงศธรเล่าว่า หลังจบการศึกษาด้านการเงินและวิศวกรรม เขาได้รับโอกาสเข้าทำงานในบริษัทการเงินต่างประเทศ ได้เจอคนใหม่ๆ คนหลากความคิด หลายวัฒนธรรมจากทั่วโลก ตอนที่ทำงานที่ดอยซ์แบงก์ ประเทศอังกฤษ ได้มีโอกาสดูแลลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ได้เรียนรู้วิธีคิดและรูปแบบการทำงานของมืออาชีพในเวทีโลก และหล่อหลอมเป็นต้นทุนและประสบการณ์ที่แข็งแกร่งสำหรับเขา

 

“ผมทำงานหนัก ผลักดันตัวเอง และพยายามหาโอกาสใหม่ๆ ให้ตัวเองมากที่สุด ผมอยากจะทำอะไรที่มีความหมาย มีคุณค่ากับชีวิต เหมือนกับหนังสือเล่มหนึ่งที่มีบทต่างๆ ผมจะใส่เรื่องราวของผมในแต่ละบท ไม่ต้องให้คนอื่นรู้ก็ได้นะ แต่ตัวผมเองต้องรู้ จึงอยากให้แต่ละบทมีความพิเศษ และจะไม่รู้สึกเสียดายเลยเมื่อมองย้อนกลับไป เพราะผมรู้ว่าผมเต็มที่กับมันแล้ว บทชีวิตผมในหนังสือจะต้องเป็น ‘The best I can do’ เสมอ”

 

จุดเปลี่ยนสำคัญของเขาเกิดขึ้นเมื่อคุณพ่อล้มป่วยในปี 2545 พงศธรจึงต้องลาออกจากดอยซ์แบงก์และกลับมาประเทศไทยเพื่อช่วยดูแลกิจการเกลือปรุงทิพย์ต่อ เขาปรับโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกระดับส่วนงานขายและการตลาดจนทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด

 

“ในช่วงที่คุณพ่อป่วย ผมได้กลับมาเยี่ยมท่าน และถามท่านว่าจะให้กลับมาช่วยธุรกิจของที่บ้านหรือไม่ ท่านตอบว่า ชีวิตของลูกเพิ่งเริ่มต้น และการงานกำลังไปได้ดี ขอให้ทำต่อ การได้ทำงานและได้เดินทางไปเห็นอะไรใหม่ๆ เป็นกำไรของชีวิต ผมได้ไปทำงานที่สิงคโปร์และฮ่องกง แต่พอคุณพ่อเสีย ผมบอกตัวเองว่า ได้เวลาต้องกลับแล้ว เพราะที่นี่คือครอบครัวของผม และมาสานต่อธุรกิจของครอบครัวด้วย”

 

พงศธรเชื่อว่าสิ่งสำคัญของการทำงานคือ ผู้บริหารต้องมองสิ่งรอบตัวให้ลึกซึ้งที่สุด เข้าใจคน และสังคมโดยรอบให้ดี เพราะทุกองค์กรมีภารกิจร่วมกัน ผู้นำที่ดีต้องสร้างคนและกระตุ้นให้เกิดแรงผลักดันในการทำงานได้

“ผมเป็นลูกจ้างมากว่า 10 ปี ไม่ได้มาเป็นเถ้าแก่เลย ผมจึงรู้จักชีวิตของการเป็นลูกจ้างด้วย มาในวันนี้ ที่ผมได้มาทำธุรกิจของตัวเอง จึงเข้าใจมุมมองสองด้าน บริหารแบบ Top Down และ Bottom Up เป็นตัวอย่างที่ดี และลงมือทำให้เห็น งานอะไรที่ให้พนักงานทำ ผมต้องทำให้ได้ก่อน ทำให้ดีที่สุดโดยที่ไม่ประมาท ผมยอมรับว่าเป็นคนมีมาตรฐานสูงนะ แต่ผมเชื่อในการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ให้พวกเขามีเป้าหมายเดียวกับเรา อินกับมันและลงมือทำด้วยตัวเอง”

 

เหมือนกับคนหนุ่มที่มีความมุ่งมั่นทุกคน พงศธรต้องการเขียนประวัติศาสตร์ในโลกธุรกิจด้วยมือของตัวเอง ไม่ใช่เติบโตภายใต้เงาความสำเร็จของธุรกิจครอบครัว หลังจากช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัวแล้ว เขาเลือกเดินในเส้นทางใหม่ นั่นคือ ‘อสังหาริมทรัพย์’ เหมือนกับที่หลายๆ นักธุรกิจระดับตำนานทั้งหลายเลือกทำ

 

FYNN Development เริ่มจากก้าวที่เล็ก ด้วยฝันใหญ่ บนจุดที่จะเติบโตอย่างอิสระ

“นักธุรกิจชั้นแนวหน้าที่ประสบความสำเร็จหลายคนมาจากธุรกิจที่ต่างกัน แต่เบื้องหลังความสำเร็จอย่างหนึ่งที่เหมือนกันคือ การรู้จักบริหารทรัพย์สิน เพื่อสร้างแหล่งเงินทุนและต่อยอดมันขึ้นไปแบบทวีคูณ นั่นคืออสังหาริมทรัพย์”

 

จุดเริ่มต้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ พงศธร จอม สาลักษณ์ คือ ที่ดิน 117 ไร่ที่เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ดินเปล่าของครอบครัวที่เขาวิ่งเล่นมาตั้งแต่เด็ก พงศธรเห็นศักยภาพของที่ดินแปลงนี้จึงคิดจะทำโรงแรมเหมือนสูตรสำเร็จในตำราวิชาบริหารธุรกิจทั่วไป แต่คิดว่าถ้ากระโดดไปทำแบบใหญ่โตอาจมีความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น จากนั้นก็เริ่มต้นลงทุนเพิ่มด้วยทุนจากกำไรจนกลายเป็นธุรกิจที่สมบูรณ์และปลอดหนี้  

 

“เราลงทุนเยอะในเวลาสั้นก็เสี่ยงเยอะนะครับ ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ พัฒนา พร้อมกับเรียนรู้ตลาดไปด้วยน่าจะดีกว่า อย่างตอนที่ผมทำหาดเทียน บีช รีสอร์ท เกาะเต่าสมัยนั้นห้องราคา 6,000 บาทไม่มีเลย ผมจึงใช้เวลาศึกษาตลาด ศึกษากลุ่มเป้าหมาย ปรากฏว่าพอเปิดแบบวิลล่าคุณภาพดี มีแค่ 10 หลัง ตั้งราคาต่อคืนไว้ 6,500 บาท จองเต็มตั้งแต่วันแรก! จากนั้นจึงทยอยเพิ่มเป็น 30 หลัง 50 หลัง ตอนนี้มี 144 หลัง อัตราการเข้าพัก 75-80% ทั้งปี เรียกว่าโตอย่างต่อเนื่อง”

 

เมื่อมั่นใจพอสมควรกับวิชาและประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์ พงศธรจึงเริ่มต้นธุรกิจ FYNN Development ขึ้นมาด้วยทุนของตนเอง ไม่มีผู้ถือหุ้นอื่น บริหาร  สัดส่วนของทุนต่อหนี้สินให้สมดุล เพราะธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ทำเงินต่อเนื่อง (Cash Cow) อยู่แล้ว จึงลดแรงกดดันของต้นทุนทางการเงิน จึงคิดและทำงานได้อย่างมีอิสระเต็มที่

 

กลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตอสังหาฯ ของพงศธรเริ่มต้นจากโรงแรมก่อน เพราะสร้างรายได้สม่ำเสมอ ปลอดหนี้ และยั่งยืน ขณะที่ธุรกิจคอนโดฯ มักจะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา ใช้ต้นทุนสูง และสร้างรายได้เป็นโครงการโครงการไป ดังนั้นจึงก่อให้เกิดธุรกิจที่สมดุลและเกื้อกูลกัน

 

“FYNN Development เริ่มต้นจากแพสชันของผมล้วนๆ เลยครับ ผมอยากสร้างบ้านที่ดี ในสังคมที่ดี และต้องมีคุณค่าที่สะท้อนตัวตนของคนที่อยู่อาศัย โดยเนื้อแท้ DNA ของ FYNN คือ Content บวก Community”

 

 

สำนักข่าว THE STANDARD เข้าไปชมโครงการล่าสุดของ FYNN อโศก ในซอยสุขุมวิท 10 เป็นสังคมคนทำงานที่หนาแน่นที่สุดจุดหนึ่งในกรุงเทพฯ และยังมีนักท่องเที่ยวต่างชาติในพื้นที่นี้จำนวนมาก พงศธรมองว่าสิ่งที่สำคัญของที่พักอาศัยใจกลางเมืองแบบนี้คือพื้นที่สีเขียว และซอยนี้เป็นเส้นทางเดียวที่เชื่อมอโศกกับสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ลูกบ้านสามารถเดินไปเอง หรือปั่นจักรยานไปได้ เหมือนเดินจากบ้านไปสวนนั่นเอง

 

“ผมว่าทุกโครงการย่อมมีจุดขายของตัวเอง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เทคโนโลยีต่างๆ ในโครงการที่มีขายในตลาดซื้อกันได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ซื้อไม่ได้และสร้างตามไม่ได้ คือความเป็นธรรมชาติโดยเนื้อแท้ และชีวิตที่เติบโตผ่านกาลเวลาอย่างต้นไม้กลางโครงการของเรา ต้นจามจุรีอายุกว่า 60 ปีที่แผ่กิ่งก้านสร้างร่มเงาและความร่มรื่นมาตลอดกว่าครึ่งศตวรรษ คือความงดงามของธรรมชาติจริงๆ”

 

พงศธรมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดี ลูกค้าเองก็มีความรู้และเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว จึงตัดสินใจได้ดีขึ้นไม่เหมือนกับช่วงสิบปีที่ผ่านมา ขณะนี้ตลาดอยู่ในช่วงปรับตัวจากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบกับธุรกิจ เขาเห็นว่าตลาดยังมีความต้องการโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่มาก แต่ราคายังสูงกว่าที่ควรจะเป็น แต่โดยรวมแล้วถือว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ยังมีอนาคตที่ดี และประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตต่อไปได้อีกมาก

 

แม้จะเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดใหญ่นี้ พงศธรยังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจอีกมาก จากความแตกต่างของหลักคิด คุณค่าของแบรนด์ และสิ่งที่ FYNN Development จะทำจากนี้ต่อไป

 

“ผมจะไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่แค่ผม แต่ทีมงานด้วย ผมไม่กลัวการแข่งขัน เพราะผมเชื่อว่าเราแข่งได้ เราสร้างมูลค่าเพิ่มให้ลูกค้าและผู้อยู่อาศัยได้จริงๆ นั่นคือหัวใจของเรา ต้องมีความสุขทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย สำหรับผม สิ่งที่ท้าทายที่สุดยังคงเป็นทรัพยากรมนุษย์ คือคุณภาพของพนักงาน องค์กรจะขาดพนักงานที่ดีไม่ได้ ผมเป็นคนที่มีแพสชัน จึงต้องหาคนที่มีแพสชันมาทำงานด้วย และสนุกไปพร้อมกับผม

 

 

“สิ่งที่ผมให้ความสำคัญคืออิสระในการทำงานและการใช้ชีวิต เพื่อที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดของผมออกมาในทุกๆ วัน”

 

เป็นอีกตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจและเติบโตจากการพิสูจน์ตัวเอง ก้าวข้ามความท้าทายต่างๆ ที่มีได้เสมอ ด้วยความพยายามและแรงขับที่เหลือเฟือในทุกก้าวที่เดิน

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X