หลายคนน่าจะได้เห็นภาพที่ โมฮัมเหม็ด อูอาห์บี กุนซือทีมชาติโมร็อกโก รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ชู ‘การ์ดสีน้ำเงิน’ ขึ้นระหว่างเกมรอบรองชนะเลิศฟุตบอลโลก U20 กับฝรั่งเศส
ภาพที่ทำให้แฟนบอลทั่วโลกสงสัยว่า “นี่มัน VAR แบบใหม่หรือเปล่า?”
และใช่ครับ… นั่นคือส่วนหนึ่งของระบบทดลองใหม่จากฟีฟ่า ที่มีชื่อว่า Football Video Support (FVS) ที่เปิดโอกาสให้ผู้จัดการทีมขอให้ผู้ตัดสินตรวจสอบเหตุการณ์ในสนามได้เอง ด้วยการใช้ ‘การ์ดรีวิว’ แบบเดียวกับที่เราเห็นในกีฬาอย่างเทนนิสหรือคริกเกต
แนวคิดนี้กำลังได้รับความสนใจจากทั่ววงการฟุตบอล เพราะฟีฟ่าต้องการพัฒนาเครื่องมือช่วยตัดสิน ที่ทั้งยุติธรรมขึ้น และเข้าถึงได้ง่ายกว่า VAR แบบเต็มรูปแบบ
โดยเฉพาะในรายการแข่งขันที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณและเทคโนโลยี
ว่าแล้ว มาดูกันว่า Football Video Support (FVS) ระบบรีวิวแบบใหม่จากฟีฟ่านี้ มีวิธีใช้อย่างไร และมีเงื่อนไขอะไรที่ต้องรู้บ้าง?
วิธีการทำงานของระบบ Football Video Support (FVS)
แต่ละทีมจะได้รับการ์ดรีวิวทีมละ 1 ใบ ฝั่งหนึ่งเป็น ‘สีน้ำเงิน’ อีกฝั่งเป็น ‘สีม่วง’ โดยมีเพียง ผู้จัดการทีม เท่านั้นที่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้ (หรือเจ้าหน้าที่ทีมระดับสูง หากผู้จัดการไม่ได้คุมอยู่ข้างสนาม)
นักเตะในสนามสามารถขอให้โค้ชใช้สิทธิ์รีวิวได้ แต่ไม่สามารถยื่นขอเองโดยตรง และการขอรีวิวต้องทำทันทีหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นเท่านั้น
ขั้นตอนคือ ผู้จัดการทีมจะหมุนมือเป็นสัญลักษณ์ขอรีวิว แล้วส่งการ์ดรีวิวให้ผู้ตัดสินที่ 4
จากนั้นระบบจะนำภาพจากกล้อง 3-4 ตัวในสนาม มาให้ผู้ตัดสินหลักเป็นผู้ตรวจสอบด้วยตนเอง โดยเขาจะเดินไปดูภาพที่มอนิเตอร์ข้างสนาม เพื่อพิจารณาจังหวะที่ถูกร้องขอ และหลังจากตรวจสอบเสร็จ ผู้ตัดสินจะเป็นผู้ตัดสินขั้นสุดท้าย ว่าจะ เปลี่ยนคำตัดสินเดิมหรือยืนยันตามเดิม
เงื่อนไขการใช้
ใช้ได้เฉพาะจังหวะที่อาจเป็นความผิดพลาดชัดเจน (Clear and obvious error) เช่น
- ประตู / ไม่เป็นประตู
- จุดโทษ / ไม่จุดโทษ
- จังหวะที่อาจต้องเป็น ใบแดงโดยตรง (ไม่รวมใบเหลืองที่สอง)
หากรีวิวแล้วผลกลับคำตัดสิน ทีมยังคงสิทธิ์ไว้ใช้ได้ต่อ (เหมือนเทนนิสหรือคริกเกต) แต่หากรีวิวแล้วคำตัดสินเดิมถูกยืนยันตามเดิม ทีมจะเสียสิทธิ์นั้นทันที ซึ่งทางฟีฟ่าออกกฎรูปแบบแบบนี้เพื่อไม่ให้โค้ชใช้พร่ำเพรื่อ และให้เกิดการใช้เฉพาะจังหวะสำคัญจริงๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ระบบ FVS จะเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และดูตรงไปตรงมา มากกว่าระบบ VAR แบบเดิม เพราะเปิดโอกาสให้ผู้จัดการทีมมีส่วนร่วมในการขอรีวิวได้โดยตรง
แต่สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างก็ยังคงอยู่ภายใต้ ‘ดุลยพินิจของผู้ตัดสิน’ อยู่ดี
และไม่ว่าจะเป็นนักเตะ โค้ช หรือแฟนบอลที่กำลังรับชมเกมอยู่ข้างสนามและทั่วโลก สิ่งที่ทุกคนคาดหวังเหมือนกันก็คือ ให้ทุกการตัดสินเกิดขึ้นอย่างยุติธรรมที่สุด เท่าที่ฟุตบอลควรจะเป็น
อ้างอิง: