×

Fund Flow เริ่มไหลเข้า! ต่างชาติหวนซื้อหุ้นไทยพยุงดัชนี กูรูเชื่อมีโอกาสเห็น 1,650 จุด หลังโบรกปรับคาดการณ์กำไร บจ. ขึ้นกว่า 10%

09.06.2021
  • LOADING...
Fund Flow

ช่วง 5 วันทำการของตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หรือตั้งแต่วันที่ 1-8 มิถุนายน 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนี SET ขยับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุด นักลงทุนต่างชาติเริ่มเป็นฝ่ายที่กลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้งด้วยมูลค่า 4.67 พันล้านบาท (ราว 150 ล้านดอลลาร์) สวนทางกับนักลงทุนสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 4.08 พันล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยที่ขายสุทธิ 1.20 พันล้านบาท

 

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 มิถุนายน) นักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นฝ่ายที่ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีก 2,846 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศก็เริ่มกลับมาซื้อสุทธิในวานนี้จำนวน 1,835 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ขายสุทธิจำนวน 4,603 ล้านบาท ทางด้านพอร์ตลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 79.49 ล้านบาท

 

ในขณะที่ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปิดทำการที่ระดับ 1,626.27 จุด เพิ่มขึ้น 13.39 จุด หรือ 0.83% มูลค่าการซื้อขายรวม 94,107 ล้านบาท

 

การกลับมาซื้อสุทธิของผู้ลงทุนต่างชาติในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ถือเป็นครั้งแรกหลังจากที่ในช่วง 5 เดือนก่อนหน้านี้ได้เทขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท (ราว 2,000 ล้านดอลลาร์) โดยในช่วงท้ายของเดือนพฤษภาคม หรือระหว่างวันที่ 10-28 พฤษภาคม นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 14 วันทำการติดต่อกัน

 

fund flow foreign investors

ทิศทางของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียปีนี้ ภาพรวมยังคงติดลบเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเพียงอินเดียและอินโดนีเซียที่เงินลงทุนยังไหลเข้าและยังต่อเนื่องในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังจากดัชนี SET กลับมายืนเหนือ 1,600 จุด

 

มงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบี (​ประเทศไทย) มองว่า แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเริ่มไหลกลับเข้ามาในเอเชียหลังจากที่สถานการณ์ของโควิด-19 ในหลายประเทศเริ่มทรงตัว แต่การเข้าซื้อในครั้งนี้อาจยังไม่ใช่ลักษณะของการลงทุนยาว เป็นเพียงการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้นหลังจากที่ได้ขายออกไปจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้

 

สำหรับตลาดหุ้นไทยที่ราคาวิ่งขึ้นมาในระดับหนึ่ง ทำให้ทางเลือกในการเข้าลงทุนอาจจะไม่ได้มากนัก ซึ่งการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้เริ่มเห็นชัดเจนในช่วงบริเวณเกือบๆ 1,600 จุด หลังจากที่นักลงทุนในประเทศเริ่มเข้าซื้อก่อนหน้านั้น

 

“ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติค่อนข้างใจเย็น โดยรอให้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มนิ่งก่อน แต่จากการที่ต่างชาติเข้าซื้อหุ้นไทยช้ากว่า ทำให้การขึ้นรอบนี้น่าจะทำผลตอบแทนแพ้นักลงทุนไทย”

 

แนวโน้มของหุ้นไทยในระยะถัดไปเชื่อว่าในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขยับไปทดสอบ 1,630-1,650 จุด โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญคือ การที่นักวิเคราะห์ทยอยปรับประมาณการกำไรของตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับขึ้นที่ค่อนข้างโดดเด่นเมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียงอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

 

“ส่วนตัวยังมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ตลาดสะดุดได้คือการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนนี้ ซึ่งต้องติดตามผลที่ออกมา ส่วนปัจจัยอื่นๆ ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ตลาดปรับขึ้นมากกว่า โดยเฉพาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นอย่างมาก”

 

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจเรียงตามแนวโน้มความน่าสนใจ ได้แก่

 

  1. กลุ่มที่ถูกกระทบจากโควิดอย่างหนักก่อนหน้านี้ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าและโรงแรม มองหุ้นน่าสนใจคือ CRC, CENTEL และ CPN
  2. กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเริ่มเห็นบริษัทในตลาดทยอยประกาศเข้าลงทุน EV เพิ่มขึ้น หุ้นเด่นคือ EA, GPSC และ KCE
  3. กลุ่มน้ำมัน ราคาหุ้นน่าจะเริ่มทยอยฟื้นตัวตามราคาน้ำมันได้ หุ้นเด่นคือ PTTEP
  4. กลุ่มธนาคาร ด้วยมูลค่าหุ้นที่ยังถูกและโอกาสฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ หุ้นเด่นคือ KBANK 

 

ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า แรงขายต่อเนื่องของต่างชาติเมื่อปลายเดือนก่อนเป็นผลจากการปรับพอร์ตลงทุนตามการปรับน้ำหนักหุ้นไทยของ MSCI ส่วนการซื้อกลับในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มักจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการปรับน้ำหนักจบลง

 

“โดยปกติแล้วแรงซื้อกลับมักจะเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกหลังจากการปรับพอร์ตของนักลงทุน แต่แรงซื้อจะต่อเนื่องหรือไม่ คงต้องดูบริบทที่จะเกิดขึ้นต่อไปหลังจากนี้ ซึ่งประเด็นสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดคือการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนนี้ (15-16 มิถุนายน)”

 

เชื่อว่าในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ ต่างชาติและกองทุนในประเทศอาจจะยังไม่ได้ซื้อหรือขายอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรอดูผลจากการประชุมของธนาคารกลางสำคัญๆ ซึ่งคงต้องรอประเมินอีกครั้งว่าจะมีการส่งสัญญาณรูปแบบใดออกมา

 

สำหรับแนวทางที่จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นคือการประชุมในรอบนี้ไม่ได้มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทั้งในส่วนของถ้อยแถลงและการให้สัมภาษณ์หลังการประชุม โดยเฉพาะการที่ธนาคารกลางต่างๆ ยังไม่ได้ส่งสัญญาณของการลดวงเงินอัดฉีดสภาพคล่อง

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องจับตาดูควบคู่กันไปด้วยคือตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ เพราะหากตัวเลขเหล่านี้ออกมาดีมาก นักลงทุนอาจจะตีความไปก่อนได้ว่าอีกไม่นานจะต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายเป็นแน่

 

ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต

พิสูจน์อักษร: นัฐฐา สอนกลิ่น

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising