34.06.43 คือระยะเวลาในการเดินทางนับเป็นหน่วยชั่วโมง ซึ่ง โอลิเวอร์ เฟลป์ส (Oliver Phelps) โพสต์ในอินสตาแกรมของเขา โดยเริ่มต้นนับจากตอนที่เขาและ เจมส์ เฟลป์ส (James Phelps) น้องชายฝาแฝด เริ่มออกเดินทางจากโรงแรมในเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ก่อนบินจากมาลงที่นิวยอร์ก ต่อเครื่องมาลอนดอน และมาถึงจุดหมายสุดท้ายในการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งก็คือกรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งโอลิเวอร์บอกว่า นี่คือการเดินทางที่กินเวลายาวนานที่สุดในสถิติของเขา
พูดแต่ชื่อ ‘เจมส์ และโอลิเวอร์’ แบบนี้ หลายคนอาจจะไม่ได้นึกออกในทันทีว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหน แต่ถ้าบอกว่าทั้งสองคนคือฝาแฝดที่รับบท เฟรด (Fred) และ จอร์จ วีสลีย์ (George Weasley) ในภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter ทั้ง 7 ภาคแล้ว เชื่อว่าคนดูทุกคนจะต้องจำทั้งสองคนได้อย่างแน่นอน
คนดูอย่างเราได้รู้จักพวกเขาเป็นครั้งแรกที่ชานชาลา 9 ¾ ที่ King’s Cross Station เมื่อ 16 ปีที่แล้ว แต่นี่คือครั้งแรกที่ทั้งคู่เดินทางมาเมืองไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงาน Harry Potter Christmas in the Wizarding World ซึ่งจัดขึ้นที่สยามพารากอนตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา
ดังนั้น บทสนทนาของเราครั้งนี้จึงเป็นส่วนผสมระหว่างหัวข้อที่เกี่ยวกับโลกเวทมนตร์ที่เราจินตนาการถึง และโลกมักเกิลที่เราต่างก็คุ้นเคยกันดี
ย้อนไปตอนที่พวกคุณอายุ 14 และไปออดิชันเพื่อเล่นหนังเรื่องนี้ คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้ทีมงานเลือกคุณสองคน ทั้งที่มีคู่แฝดวัยเดียวกันมาแคสต์อีกเป็นพันๆ คน และหลายคนก็ผ่านงานแสดงมาก่อน
เจมส์: คิดว่าน่าจะเป็นองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน ซึ่งหมายถึงการอยู่ถูกที่ ถูกเวลาด้วย วันที่ไปออดิชันรอบแรก ก่อนที่จะเข้าไปเจอกับทีมงาน ทุกคนจะต้องต่อคิวโดยแบ่งออกเป็นแถวที่จะเข้าประตูด้านซ้ายและประตูด้านขวา เราอยู่ในแถวที่เป็นประตูด้านซ้าย ซึ่งเป็นฝั่งที่หัวหน้าทีมแคสติ้งอยู่ ถ้าวันนั้นเราเข้าประตูอีกด้าน ก็คงจะไม่ได้เจอเธอ แต่หลังจากผ่านรอบแรก เรายังต้องเข้ามาแคสต์กับโปรดิวเซอร์และผู้กำกับอีก 5 รอบ ถึงได้เล่นบทนี้ในที่สุด
โอลิเวอร์: หลังจากที่เราผ่านการออดิชันทั้งหมดแล้ว หัวหน้าทีมแคสติ้งมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็นพวกเรา เธอคิดว่าลุคของเราทั้งคู่เหมาะกับบท แต่ก็ยังต้องลุ้นว่าเราจะแสดงได้ไหม เวลาพูดบทแล้วเราจะดูเป็นธรรมชาติหรือเปล่า
ทางทีมงานเลือกอย่างไรว่า ใครเหมาะกับบทเฟรด และใครเหมาะกับบทจอร์จ
โอลิเวอร์: เอาจริงๆ จนถึงทุกวันนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาเลือกกันอย่างไร วันที่นักแสดงนำทุกคนเข้ามาอ่านบทกันวันแรก เรายังถามหัวหน้าทีมแคสติ้งเลยว่า ตกลงใครเป็นใคร ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่จำได้ว่าหลังจากนั้นเขาเดินไปคุยกับ เจ.เค. โรว์ลิง (J. K. Rowling) และ คริส โคลัมบัส (Chris Columbus) (ผู้กำกับ Harry Potter and the Sorcerer’s Stone และ Harry Potter and the Chamber of Secrets) แล้วก็กลับมาบอกเราว่า “เจมส์ เธอเล่นเป็นเฟรดนะ ส่วนโอลิเวอร์ เธอป็นจอร์จ” นั่นคือตอนที่เรารู้ว่าใครจะรับบทไหน
เจมส์: แล้วจนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่เคยถามว่าเพราะอะไร แต่ก็คิดว่าต่อให้ถาม คำตอบที่ได้ก็อาจจะเป็นว่า “นั่นสิ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ผลงานในเรื่องนี้เป็นงานแสดงครั้งแรกของคุณทั้งคู่ ก่อนหน้านี้เคยทำอะไรแนวนี้มาก่อนบ้างไหม อย่างพวกละครโรงเรียน
เจมส์: น่าจะเรียกว่าก่อนหน้านั้น การแสดงไม่ใช่ความสนใจหรือความถนัดของเราเลย ตอนเป็นนักเรียน ยังมีครูที่โรงเรียนคนหนึ่งที่ชอบสอนว่า อย่าไปเป็นนักแสดงเลย ด้วยซ้ำไป…แล้วดูตอนนี้สิ เรานั่งอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วคุยถึงเรื่องการแสดงของเรา
คุณเรียนรู้เรื่องการแสดงจากทางไหน ทั้งที่ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อน
เจมส์: ส่วนใหญ่เราเรียนจากการทำงานจริงในกองถ่ายนี่ล่ะ เพราะการเล่นเรื่องนี้ทำให้เราได้เจอกับนักแสดงระดับตำนานเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นแม็กกี้ สมิธ (Maggie Smith), ร็อบบี โคลเทรน (Robbie Coltrane), จูลี วอลเตอร์ส (Julie Walters), ไมเคิล แกมบอน (Michael Gambon) และคนอื่นๆ อีกเต็มไปหมด ทุกคนคอยช่วยสอนเราเสมอ เวลาถามอะไรก็ยินดีฟังและอธิบาย ซึ่งถือเป็นความโชคดีมากๆ สำหรับเด็กที่ไม่เคยผ่านงานมาก่อน
คาแรกเตอร์ของเฟรดและจอร์จมีอะไรที่ต่างกันบ้าง
เจมส์: เราไม่ค่อยได้คิดว่าตัวละครสองตัวนี้ต่างกันอย่างไร แล้วเวลาเล่นเองก็ไม่ได้คิดว่าตรงนี้จะเล่นให้เหมือนกันนะ หรือตรงนี้ต้องเล่นให้ต่างกันนะ เราเล่นในแบบที่เห็นว่าตัวละครแต่ละตัวควรเป็น เพราะในความเป็นแฝดที่มีความเหมือนกันนั้น ในอีกแง่ก็คือคนละคนที่มีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่รับบทนี้เลยจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความเหมือน-ความต่างนี้มากสักเท่าไร
ถ้าถามว่า มีอะไรในคาแรกเตอร์ที่เหมือนกับนิสัยจริงของคุณบ้างล่ะ
เจมส์: คิดว่าความเป็นคนขี้เล่น ชอบยิงมุก ชอบเห็นคนอื่นยิ้มและหัวเราะ ที่น่าจะเหมือนกับเฟรดและจอร์จ ซึ่งพอมาเมืองไทยแล้วรู้สึกว่าเข้าทางเราสองคนมาก เพราะคนไทยยิ้มเก่ง หัวเราะง่าย
โอลิเวอร์: ใช่ๆ เวลาพูดอะไรสนุกๆ คนที่นี่จะหัวเราะกันง่ายมาก ซึ่งต่างจากบางประเทศที่คนส่วนใหญ่จะดูขึงขังจริงจัง เราชอบความอารมณ์ดีของคนที่นี่มาก เพราะที่ไทย แม้แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ยังยิ้มให้เรา ซึ่งไม่ใช่อะไรที่เราจะได้เจอในทุกประเทศ
แล้วนิสัยชอบแกล้ง ขี้อำนี่เหมือนกับในหนังด้วยหรือเปล่า
เจมส์ & โอลิเวอร์: ก็มีบ้าง
ที่บอกว่ามีบ้างนี่เป็นนิสัยของคุณอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนเล่นหนัง หรือว่าเป็นสิ่งที่ได้มาจากเรื่องนี้
เจมส์: สำหรับผม ก่อนหน้านั้นนี่คือไม่มีเลย เพราะผมเป็นเด็กขี้อายมาก เป็นเด็กแบบที่ถ้าให้เลือกนั่งในห้องเรียนก็จะขอนั่งหลังสุด เพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจ แต่พอต้องมารับบทตัวละครที่ชอบเรียกความสนใจจากคนอื่น ก็ทำให้สนุกกับหลายๆ เรื่องมากขึ้น
โอลิเวอร์: สำหรับผมอาจจะต่างไปหน่อยเมื่อเทียบกับเจมส์ เพราะผมจะเป็นคนที่ชอบสังคมมากกว่าเขา แต่ไม่มากเท่าตอนนี้นะ
ข่าวลืออย่างหนึ่งเกี่ยวกับคุณสองคนที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยิน และคุณเองก็เคยออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง คือเรื่องที่ว่าคุณแอบสลับบทกันในบางฉาก
เจมส์: ก็อย่างที่รู้ๆ กันว่าในอินเทอร์เน็ตมีเรื่องที่ไม่จริงอยู่เต็มไปหมด และนี่คือหนึ่งในบรรดาเรื่องพวกนั้น จริงอยู่ที่เวลาซ้อมบท เราอาจจะมีเล่นแบบนั้นบ้างเพื่อให้ขำๆ กัน แต่ในการถ่ายทำจริง เราไม่เคยทำแบบนั้นเลยและไม่เคยคิดจะทำด้วย เพราะในการถ่ายทำแต่ละครั้ง มีทีมงานเป็นร้อยๆ คน ไม่มีใครอยากเป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องกลับช้าหรอก
นอกรั้วฮอกวอร์ตส์ ชีวิตวัยเด็กของคุณสนุกเหมือนอย่างในโลกแห่งเวทมนตร์ไหม
เจมส์: สนุกนะ หลายคนเคยถามเราว่า รู้สึกว่าการที่ต้องถ่ายหนังเรื่องนี้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ชีวิตวัยเด็กของเราขาดอะไรไปบ้างหรือเปล่า ซึ่งเราคิดว่ามันตรงกันข้ามเลย มันทำให้ชีวิตเราสนุกขึ้นอีกด้วยซ้ำไป
เราเชื่อว่าตลอดหลายปีที่ถ่ายทำเรื่องนี้ ต้องมีฉากที่คุณประทับใจเป็นพิเศษ อยากให้ช่วยเล่าถึงบางฉากที่คุณประทับใจให้เราฟังสักนิด
โอลิเวอร์: ทุกๆ ปีพอถึงช่วงคริสต์มาส ที่อังกฤษจะเอา Harry Potter and the Sorcerer’s Stone มาฉาย แล้วมีฉากหนึ่งที่แฮร์รี่ไปที่ King’s Cross Station ครั้งแรก ซึ่งเป็นฉากแรกที่คนดูได้เห็นเฟรดกับจอร์จ ที่เลือกฉากนี้มาพูดถึงก็เพราะว่าเสียงเราสองคนแหลมมาก และกลายเป็นจุดที่ทำให้คนจำได้ทั้งที่มันไม่น่าจำ คือเชื่อเลยว่าต่อไปในอนาคต ถ้าลูกๆ ของผมได้ดูฉากนี้ก็คงจะถามว่า ทำไมเสียงพ่อถึงได้เป็นแบบนั้น
เจมส์: ของผมเป็นฉากหนึ่งจาก Harry Potter and the Deathly Hallows ภาคแรก ที่จะต้องมีแฮร์รี่ พอตเตอร์ทั้งหมด 7 คน เราถ่ายทำในฉากที่เซตไว้ให้เป็น Privet Drive ซึ่งก่อนหน้านั้น 2 อาทิตย์ เราเล่นคริกเกตกันระหว่างรอการถ่ายทำ แล้วผมก็บังเอิญตีลูกคริกเกตไปโดนกระจกแตก เป็นสถานการณ์แบบที่ถ้าเกิดขึ้นในโรงเรียน ทุกคนจะสลายตัวออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว พอวันที่ถ่ายทำฉากนั้นก็เลยนึกถึงวันที่ทำกระจกแตก เพราะตอนนั้นเป็นความรู้สึกว่า เฮ้ย อีก 2 อาทิตย์ต้องถ่ายทำตรงนี้ แล้วเราดันทำกระจกแตกก่อน
เรื่องที่ยากที่สุดในการรับบทเฟรดและจอร์จคืออะไร
โอลิเวอร์: การย้อมสีผมให้เป็นสีแดง (ginger hair)
เจมส์: ไม่นะ นั่นไม่ได้ยากที่สุด ที่ยากกว่าการย้อมสีผมก็คือการกัดสีคิ้วต่างหาก เพราะเวลาทำสีผมมันนานก็จริง แต่มันชิลล์ๆ เราก็ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยๆ แต่เวลากัดสีคิ้วนี่คนละเรื่องเลย ต้องจับเวลาเป๊ะๆ แล้วมีครั้งหนึ่งทางทีมงานให้เด็กฝึกงานเป็นคนทำ แล้วเป็นเด็กฝึกงานที่ไม่เคยย้อมหรือกัดสีผมตัวเองมาก่อนด้วย เสร็จแล้วเขาก็ลืมเวลา
โอลิเวอร์: เราสองคนก็นั่งรอกันไป รู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมไม่เสร็จสักที แล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมมันแสบกว่าปกติ กว่าจะมีคนมาล้างออกให้ ตอนนั้นคิ้วผมก็เกลี้ยงไปเรียบร้อยแล้ว ช่วง 2 อาทิตย์หลังจากนั้นที่ต้องถ่ายทำ ก็เลยต้องใช้วิธีเขียนคิ้วให้เป็นสีเดียวกับผมแทน เรื่องนี้เกิดในช่วงที่ถ่ายทำ Harry Potter and the Half-Blood Prince
คำถามนี้สำหรับเจมส์โดยเฉพาะ ตอนที่คุณรู้ว่าเฟรดจะต้องตายในเล่มที่ 7 ตอนนั้นคุณรู้สึกอย่างไร
เจมส์: เราไปเที่ยวญี่ปุ่นกันอยู่ตอนที่หนังสือเล่ม 7 ออกมา ซึ่งการอยู่ที่นั่นทำให้เราไม่ได้เช็กโซเชียลมีเดียอะไร ซึ่งก็ดีตรงที่ไม่เจอสปอยล์ ผมอ่านเล่มนี้ระหว่างอยู่บนรถไฟ พอถึงตอนที่ตัวเองตาย เป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่มาขอตรวจตั๋วพอดี ซึ่งผมกำลังช็อกอยู่ ทั้งช็อกที่ตัวเองในเรื่องต้องตายและตกใจที่ตัวเองช็อก เพราะฉะนั้นขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามขอดูตั๋ว ผมก็เป็นแบบ…ปล่อยผมไปเหอะ อย่ามายุ่งกับผมเลย ผมเพิ่งตาย
อะไรคือข้อดีที่สุดของการมีคู่แฝดทำงานอยู่ด้วยกันในกองถ่ายที่ใช้เวลาถ่ายทำต่อเนื่องหลายปี
โอลิเวอร์: คือการมีคนให้คุยด้วยตลอดเวลา เพราะในกองถ่าย เวลาที่เราว่าง นักแสดงคนอื่นอาจจะกำลังทำงานอยู่ หรือบางครั้งต่อให้เขาว่าง แต่เขาอาจจะทำงานมาติดต่อกันหลายชั่วโมงแล้ว พอมีแฝดอยู่ด้วย ยังไงเราก็คุยกันเองได้
ถ้าให้เลือกของวิเศษจากเรื่อง Harry Potter ได้ 1 อย่าง คุณจะเลือกอะไร
โอลิเวอร์: ผมเลือก Invisibility Cloak เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ดี อย่างเวลาอยู่ในกรุงเทพฯ ถ้ามีผ้าคลุมนี่ใช้ เราก็จะแอบไปไหนมาไหนได้ไวขึ้น เพราะไม่มีใครเห็น
เจมส์: ของผมขอเป็น Portkey ดีกว่า จะเดินทางไปไหนก็แค่ใช้กุญแจนี้ ถ้าอยากมาเมืองไทยบ่อยๆ ก็ทำได้ จริงๆ ก่อนหน้านี้เราถามทีมงานตลอดเลยนะว่าเมื่อไรจะได้มาเมืองไทยสักที อยากมามาก แล้วสุดท้ายก็ได้มา
อยากมาเมืองไทยขนาดนี้ ตอนที่รู้ว่าจะได้มาเมืองไทย ความรู้สึกแรกของคุณคืออะไร
เจมส์: เยี่ยมไปเลย เพราะจะได้กินอาหารไทย นั่นเป็นความคิดแรกในหัวเลยนะ เพราะว่าผมเป็นคนชอบทำอาหาร เวลาอยู่ที่อังกฤษก็จะทำอาหารไทยกินเองอยู่บ่อยๆ ทั้งมัสมั่น แกงเขียวหวาน ผัดไทย แล้วก็เมนูอื่นๆ เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงเมืองไทยเมื่อวานก็คือพุ่งตรงไปที่ร้านอาหารทันที
ถ้าอย่างนั้นมีอาหารไทยเมนูไหนที่อยากกิน แล้วยังไม่ได้กินอีกบ้างไหม
เจมส์: คิดว่าไม่มีนะ เพราะตั้งแต่มานี่เรากินไปหลายอย่างมาก อย่างข้าวเหนียวหมูปิ้งก็ได้กิน ซึ่งผมชอบมาก
โอลิเวอร์: เราได้ลองอาหารหลายอย่างมาก มีปาท่องโก๋ชาร์โคลด้วย แต่นี่ผมกำลังพยายามหว่านล้อมให้เจมส์ลองกินแมงป่องอยู่ เขายังไม่ยอมสักที
แสดงว่าคุณลองกินก่อนแล้วถึงได้ชวนให้เจมส์ลองบ้าง
โอลิเวอร์: ไม่เลยและจะไม่กินด้วย (หัวเราะ) แต่เจมส์ควรจะลองนะ เพราะไหนๆ เขาก็มาถึงเมืองไทยแล้ว เดี๋ยวผมรับหน้าที่ถ่ายรูปตอนเขากินให้เอง
ตอนที่คุณมาถึงเมืองไทย มีแฟนคลับไปรอรับที่สนามบิน ก่อนหน้านี้คุณรู้ไหมว่าหนังสือและหนังเรื่อง Harry Potter มีแฟนๆ ในเมืองไทยมากขนาดนี้
เจมส์: ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหน ผมมักจะเซอร์ไพรส์กับเรื่องนี้มาก อย่างที่เมืองไทยนี่ผมไม่ได้คาดมาก่อนว่า จะมีคนจำเราได้ในทุกที่ที่ไป แม้แต่เดินอยู่ข้างทางก็ยังมีคนจำได้
โอลิเวอร์: หรืออย่างที่เราไปดูมวยไทยกันเมื่อคืน หลังจากมวยจบ เราได้ไปเจอนักมวยที่ชนะในยกนั้นด้วย ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาเป็นแฟนของเรื่อง Harry Potter และจำเราสองคนได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่เจ๋งมาก
ในฐานะคนอ่านและคนที่เล่นหนังเรื่องนี้ คุณมองว่าอะไรคือเวทมนตร์ของ Harry Potter ที่ทำให้คนทั่วโลกชื่นชอบเรื่องนี้
เจมส์: น่าจะเป็นความเชื่อมโยงที่ไม่ว่าใครอ่านก็จะรู้สึกได้ว่ามันมีอะไรที่ใกล้ตัวนะ คือถึงจะเป็นเรื่องของพ่อมดแม่มด แต่มันก็มีความเข้าถึงได้ แล้วมันน่าจะทำให้หลายๆ คนอดจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าโลกพ่อมดแม่มดนี่อยู่ในประเทศเรา มันจะเป็นแบบไหน เหมือนอย่างเวลาเรามาเมืองไทย เราก็คิดนะว่าถ้ามีโลกเวทมนตร์ในเมืองไทยจะเป็นยังไง
โอลิเวอร์: นั่นสิ คิดอยู่เหมือนกันว่าจะมีมวยไทยกับอาหารไทยไหม ส่วนเครื่องแบบนักเรียนก็น่าจะไม่ต้องมีผ้าพันคอนะ
เจมส์: คงออกมาเป็นแนวซัมเมอร์แวร์ไปเลย (หัวเราะ)
อะไรคือสิ่งสำคัญสุดที่คุณได้จากการเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งเวทมนตร์ แล้วนำมาใช้ในโลกชีวิตจริง
เจมส์: สำหรับผมคิดว่าน่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง จากเด็กที่ขี้อายมากๆ กลายเป็นคนอีกแบบหนึ่งไปเลย แล้วก็ได้เรียนรู้ว่าเราสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้ อย่างแต่ก่อนผมเคยกลัวความสูงสุดๆ แต่เพราะได้ทำอะไรหลายๆ อย่างในเรื่องนี้ จนตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่สนุกกับบันจี้จัมป์ กระโดดร่ม ปีนหน้าผา เรียกว่าหลายปีที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ มันทำให้ผมเอาชนะตัวเองได้ในเรื่องส่วนตัว
โอลิเวอร์: ของผมคือ อย่าย้อมสีผมด้วยตัวเอง ถ้าจะทำสีผม ไปให้ช่างทำสีผมทำดีกว่า เพราะที่ผ่านมาเราทำสีผมกันเอง ซึ่งโชคดีมากที่ตลอด 12 ปีในการทำสีผม ผมก็ยังไม่มีปัญหาเรื่องผมร่วง แต่นั่นคือบทเรียนที่ผมได้จากเรื่องนี้
- ระหว่างที่ถ่ายทำเรื่องนี้ มีหลายครั้งที่พ่อกับแม่ของเจมส์และโอลิเวอร์ได้เดินทางไปที่กองถ่ายด้วย ซึ่งทั้งคู่บอกว่าเป็นเรื่องดีๆ สำหรับครอบครัวของเขา เพราะไม่ใช่แค่ตัวเขาสองคนเท่านั้นที่ได้เห็นเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ของหนังชุดนี้ แต่พ่อกับแม่ก็ยังได้เห็นด้วย จนทำให้เป็นประสบการณ์ร่วมกันของทุกคนในครอบครัว
- ช่วงที่ถ่ายทำ 4 ภาคแรก ทั้งคู่ย้อมผมเป็นสีแดงตลอดเวลา จนหลังจาก Harry Potter and the Goblet of Fire ถึงค่อยสลับไปเป็นสีผมธรรมชาติของตัวเองบ้าง ในช่วงที่ไม่ได้ถ่ายทำ ซึ่งในภาคนั้นผมของพวกเขายังยาวประบ่าด้วย โดยวันแรกหลังจากตัดผมสั้นและย้อมกลับไปเป็นสีเดิม เจมส์มีนัดเจอกับเพื่อนๆ ที่ผับ แต่ไม่มีใครทักเรื่องทรงผมและสีผมที่เปลี่ยนไปของเขาเลยสักคนเดียว
- ในขณะที่นักแสดงจากเรื่อง Harry Potter บางคนประสบปัญหาว่าคนดูติดภาพจำของตัวเองจากเรื่องนั้น และไม่สามารถลบภาพดังกล่าวได้ เจมส์และโอลิเวอร์กลับมองว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา เพราะเขาเปลี่ยนความคิดของคนไม่ได้ และภาพจำจากเรื่อง Harry Potter ก็นำมาซึ่งประสบการณ์ดีๆ อีกหลายอย่าง จนพวกเขาไม่คิดว่ามันเป็นข้อเสียแต่อย่างใด