สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัวที่ 2.7% ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ที่ 3.2% ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการส่งออกเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (27 ตุลาคม) พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ขยายตัวจากปี 2565 ที่ 2.6% ต่อปี โดยภาคการท่องเที่ยวและอุปสงค์ภายในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ
โดยคาดว่าทั้งปี 2566 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 27.7 ล้านคน ขยายตัวที่ 148.3% ต่อปี และมีรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 1.18 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 225.5% จากปี 2565
ส่วนการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 5.8% รวมถึงแรงกดดันของอัตราเงินเฟ้อที่คลี่คลายลง
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวที่ 0.9% สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะหดตัวที่ -1.8% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทย
สำหรับการบริโภคภาครัฐคาดว่าจะหดตัวที่ -3.4% ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะทรงตัวในระดับเดียวกับปีก่อนหน้า โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่ล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา
โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังยังเปิดเผยอีกว่า การใช้ พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2567 (ซึ่งปกติควรเริ่มใช้ในเดือนตุลาคมของทุกปีงบประมาณ) น่าจะล่าช้าไปราว 6 เดือนเช่นเดิม โดยคาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในเดือนเมษายนปี 2567
คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2567
สำหรับในปี 2567 กระทรวงการคลังคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นที่ 3.2% ต่อปี โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชนและภาคการส่งออก กอปรกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2567 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 34.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 24.6% ต่อปี ส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง เกิดการจ้างงานและเพิ่มรายได้ประชาชน โดยคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 3.1% ต่อปี
ขณะที่การส่งออกสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ในตลาดโลกและเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยคาดว่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวที่ 4.4% ต่อปี ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจทำให้คาดว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวที่ 3.5% ต่อปี
ประมาณการ GDP ปีหน้า ไม่รวมดิจิทัลวอลเล็ต
อย่างไรก็ดี การประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 ในครั้งนี้ ยังไม่ได้รวมผลกระทบของมาตรการเศรษฐกิจที่อยู่ระหว่างการพิจารณาดำเนินการโดยเฉพาะนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
โดยพรชัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ไม่คำนวณผลของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป เนื่องจากต้องรอความชัดเจนของโครงการเพิ่มเติม เนื่องจากรัฐบาลระบุว่าได้เตรียมกลไกและรูปแบบพิเศษที่จะทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบมากกว่าวิธีการปกติ ทาง สศค. จึงต้องรอดูรูปแบบอีกที
“ถึงแม้จะพอรู้กลุ่มเป้าหมายแล้ว แต่ยังไม่รู้วิธีการ ดังนั้น การที่จะประมาณการเศรษฐกิจออกมาอย่างชัดๆ จึงยังทำไม่ได้ และต้องรอให้เกิดความชัดเจนก่อน” พรชัยกล่าว
จับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลกในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป เช่น สถานการณ์สู้รบในอิสราเอลและกาซาที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานให้ปรับตัวสูงขึ้น ความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน และการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและการค้าระหว่างประเทศ จำเป็นต้องติดตามบทบาทและท่าทีของแต่ละประเทศอย่างใกล้ชิด
- ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของประเทศคู่ค้าหลักและปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
- สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่ประสบปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการส่งออกและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวของไทย
- ปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) ที่อาจทำให้เกิดภัยแล้งในปี 2567 ส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร