ผลโพลสำรวจคาดว่า คามาลา แฮร์ริส มีโอกาสชนะและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สัดส่วนประมาณ 44% ส่วน โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสที่จะชนะ 47.4% ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า กรณี โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน ยอมประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตพรรคเดโมแครตลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยคาดว่ามีโอกาสสูงที่พรรคเดโมแครตจะส่ง คามาลา แฮร์ริส เข้ามาเป็นแคนดิเดตแทน ตรงนี้ต้องติดตามผลเสนอชื่อในการประชุมใหญ่พรรคเดโมแครตในวันที่ 19-22 สิงหาคมนี้
ปัจจุบัน โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน มีคะแนนความนิยมนำ โจ ไบเดน อยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งหาก คามาลา แฮร์ริส เข้ามารับไม้ต่อในการสมัครชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็คาดว่าคะแนนนิยมก็ยังเป็นแบบเดียวกันอยู่ โดยโพลสำรวจคาดว่า คามาลา แฮร์ริส มีโอกาสชนะและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สัดส่วนประมาณ 44% ในขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสที่จะชนะ 47.4% ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้น ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป
เทียบนโยบายระหว่าง โจ ไบเดน กับ คามาลา แฮร์ริส
หากเปรียบเทียบนโยบายระหว่าง โจ ไบเดน กับ คามาลา แฮร์ริส จะมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย
ประเด็นแรก: นโยบายที่เกี่ยวข้องกับรถ EV รวมถึงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการปล่อยมลพิษ และนโยบาย COP28 ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งมีนโยบายที่แตกต่างคนละขั้วกับผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามคือ โดนัลด์ ทรัมป์
ประเด็นที่สอง: นโยบายในการจัดเก็บภาษีกับกลุ่มคนรวยเพื่อนำมาใช้ช่วยกลุ่มคนจน โดยเน้นให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งในช่วงปี 2019-2020 คามาลา แฮร์ริส ได้เสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสองเรื่องดังกล่าวถึงจำนวน 19 ฉบับ ซึ่งมีมายด์เซ็ตที่คล้ายกับของ โจ ไบเดน
อย่างไรก็ดี นโยบายของ คามาลา แฮร์ริส จะตรงข้ามกับของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดภาษีนิติบุคคลให้กับกลุ่ม Corporate อีกทั้งยังมีนโยบายที่สร้างความขัดแย้งกับจีน พร้อมทั้งยังสนับสนุน Bitcoin และการใช้น้ำมัน ซึ่งหุ้นที่เกี่ยวข้องก็ได้ประโยชน์จากนโยบายนี้ อีกทั้งคาดว่าถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดี มีโอกาสที่ เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ JPMorgan Chase & Co. ซึ่งเป็นเพื่อนของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ
อีกหนึ่งประเด็นของนโยบายที่สำคัญของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้ามาทบทวนคือ อาจยกเลิก EV Plan และกฎหมาย Inflation Reduction Act ของ โจ ไบเดน ซึ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับรถ EV หรือพลังงานทดแทน มีความเสี่ยงที่จะถูกผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวนี้
เปิด 4 Scenario กระทบต่อการลงทุน
สำหรับการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ประเมินว่าจะแบ่งออกเป็น 4 Scenario ที่จะมีผลกระทบต่อการลงทุน
- พรรครีพับลิกันที่นำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง สามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 41% โดยกรณีนี้จะมีผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นกับจีนค่อนข้างมากที่สุด แต่เป็นผลบวกกับ S&P 500 ที่ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้น
- พรรคเดโมแครตที่นำโดย คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งทั้งสภาบนและสะพานล่าง มีโอกาสอยู่ที่ประมาณ 18% ซึ่งกรณีนี้จะเป็นผลกระทบเชิงลบต่อหุ้น S&P 500 และมีผลกระทบต่อจีน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า
- พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้เพียงสภาเดียว จะเป็นผลลบต่อหุ้น S&P 500 และจีน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสที่จะแข็งค่า
- พรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากได้เพียงสภาเดียว จะเป็นผลลบต่อหุ้น S&P 500 และจีน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสที่จะอ่อนค่า
ทั้งนี้ ปัจจุบันให้น้ำหนักกับผลการเลือกตั้งว่าพรรครีพับลิกันที่นำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งมากกว่า โดยการตอบรับของตลาดหุ้นมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของคะแนนเสียงว่าจะสามารถครองทั้งสภาบนและสภาล่างได้ด้วยคะแนนเสียงข้างมากของทั้งสองสภาด้วยหรือไม่ แต่มีโอกาสที่จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้มีมุมมองว่าประชาชนชาวอเมริกันมักลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากกระแสความนิยมหรือโพล ไม่ได้พิจารณาจากนโยบายการเลือกตั้งเป็นสำคัญ ซึ่งหาก คามาลา แฮร์ริส สามารถเรียกกระแสความนิยมกลับมาได้ ก็มีโอกาสที่จะดึงคะแนนความนิยมที่ปัจจุบันตามโดยทำอยู่ 4-5% ให้กลับคืนมาได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเป็นช่วงรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/24 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ดังนั้นการลงทุนในระยะนี้จึงควรให้น้ำหนักกับข้อมูลผลประกอบการที่จะย่อยออกมาหลังจากข้อมูลครบถ้วน จากนั้นจึงมาพิจารณาข้อมูลด้านโควิดที่มีผลต่อการลงทุนอีกครั้ง