×

สี่ความเสี่ยงใหญ่ปี 2026 โลกการเงินบน ‘สุดขอบความแพง’

27.12.2025
  • LOADING...
สี่ความเสี่ยงใหญ่ปี 2026 โลกการเงินบน ‘สุดขอบความแพง’

ในที่สุดปี 2025 ที่ผันผวนก็เดินทางมาถึงฉากสุดท้าย และกำลังจะส่งเรื่องราวต่อให้ปี 2026 ที่รออยู่ข้างหน้า

 

ตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ความ ‘สุดโต่ง’ ปรากฏแทบทุกตลาด ไล่ตั้งแต่ดัชนีวัดความกลัวอย่าง VIX Index ที่ลดลงต่อเนื่องหลัง Liberation Day และมีแนวโน้มปิดปีในระดับต่ำสุด ราคาทองคำที่ปรับขึ้นกว่า 60% ทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาล ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ที่ปิดปีใกล้ระดับสูงสุด แม้ Long-Term P/E แตะราว 38 เท่าเป็นสถิติใหม่ หุ้นจีนที่กลับมาฟื้นตัวโดดเด่น ไปจนถึงเงินบาทที่พลิกกลับมาแข็งค่าส่งท้ายปี

 

ปัจจัยเหล่านี้เป็นทั้ง ‘เรื่องราว’ ที่จะถูกส่งต่อ และในขณะเดียวกันก็เป็น ‘จุดเริ่มต้น’ ของปี 2026 ที่อาจสุดขอบกว่าปกติ

 

บทเรียนจากปี 2025 สอนชัดว่ากลัวมากไปไม่ได้ช่วยให้ชนะตลาด และอาจทำให้เราพลาดแนวโน้มการลงทุนที่เกิดขึ้นจริง หากเรื่องราวของตลาดการเงินดำเนินไปในรูปแบบเดิม สินทรัพย์ลงทุนอาจยังมีแนวโน้มเคลื่อนที่เชิงบวกต่อได้

 

แต่ในอีกด้านหนึ่ง คือจุดเริ่มต้นที่ระดับ ‘สุดโต่ง’ ทั้งราคาและ valuation ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้ามว่าตลาดกำลังตั้งอยู่บนความหวังที่ไม่ปกติ และในโลกที่ความคาดหวังสูง ความผิดหวังเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ทิศทางตลาดกลับตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

 

ดังนั้นปี 2026 เราจึงต้องยิ่งคิดให้เป็นระบบ แก้ความกลัว ด้วยการทำความเข้าใจความเสี่ยงสำคัญ วิเคราะห์ด้วย ‘โอกาสเกิด × ผลกระทบ’ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก และมีกลยุทธ์พร้อมรับมือโลกการเงินที่อาจปรับฐานแรงหรือคงความสุดโต่งเกิดขึ้นได้มากกว่าปกติ

 

ในมุมมองของผม นักลงทุนต้องเริ่มด้วยการทำความเข้าใจความเสี่ยงก่อน และในปี 2026 มี 4 เหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ปกติของตลาด

 

เหตุการณ์ที่หนึ่ง: ผู้นำ Fed คนใหม่ที่ ‘ผ่อนคลายเกินไป’

 

ผมมองว่าโอกาสจะเห็นเหตุการณ์นี้อยู่ราว 70% เนื่องจากล่าสุดตลาด Polymarket ส่งสัญญาณว่าตัวเต็งที่คาดว่าจะได้รับเลือกเป็นประธาน Fed คนใหม่คือ Kevin Hassett (56%) และ Kevin Warsh (22%) ทั้งคู่ถูกมองว่าได้รับแรงสนับสนุนจากประธานาธิบดี Trump ให้ลดดอกเบี้ยให้เร็วที่สุด

 

หากประธาน Fed คนใหม่นำธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปสู่การกำหนดนโยบายที่ผ่อนคลายกว่าที่ควรเป็น พฤติกรรมเปิดรับความเสี่ยงของภาคเอกชนและตลาดทุน (risk-taking) จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยีลด์สหรัฐฯ ระยะสั้นลดลง ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อไปได้ ตลาดอาจเดินหน้าบวกต่อ แต่ความเปราะบางจะก่อตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

จุดที่ต้องระวังคือความเปราะบางของตลาด มักไม่แสดงอาการในช่วงแรก มันจะปรากฏชัดเมื่อเงินเฟ้อไม่ลดลงตามคาด จน Fed ต้องกลับลำ และเมื่อถึงตอนนั้น ตลาดจะกลับทิศพร้อมกัน ทั้งเร็วและแรงกว่าปกติ เพราะราคาสินทรัพย์ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อมากเกินไปก่อนหน้า

 

เหตุการณ์ที่สอง: บอนด์ยีลด์ระยะยาวทั่วโลกเข้าสู่ขาขึ้น

 

จุดเริ่มต้นของปี 2026 ในตลาดพันธบัตรโลกสะท้อนความ ‘สุดขอบ’ อีกด้านหนึ่ง ได้แก่ ยีลด์ญี่ปุ่นอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นเหนือ 2.0% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 1998 และยีลด์เยอรมันอายุ 10 ปีที่ขยับขึ้นใกล้ 3.0% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 ขณะที่ในกลุ่ม G10 มีเพียงสหรัฐฯ และอังกฤษเท่านั้นที่ยีลด์ระยะยาวไม่ได้ปรับขึ้นในปีที่ผ่านมา

 

การที่ยีลด์ระยะยาวของประเทศหลักขยับขึ้นพร้อมกันหมายถึงต้นทุนเงินของทั้งระบบสูงขึ้น หนุนสกุลเงินของประเทศต้นทาง กดดันมูลค่าหุ้นเติบโต (growth stocks) และเพิ่มความน่าสนใจของสินทรัพย์ปลอดภัยในเชิงเปรียบเทียบ

 

กรณีที่ต้องระวังคือ หากรัฐบาลทั่วโลกใช้นโยบายการคลังขาดดุลอย่างสุดโต่งเพื่อพยุงการเติบโตต่อไป อุปทานพันธบัตรจะเพิ่มขึ้นไม่หยุด แม้ยีลด์จะสูงแล้ว ก็มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นต่อ จนถึงวันหนึ่ง ระดับของยีลด์จะกลายเป็นเข็มที่เจาะฟองสบู่การเงินบางอย่างให้แตกในที่สุด

 

เหตุการณ์ที่สาม: ฟองสบู่คริปโทแตก

 

แม้เรื่องราวการเปลี่ยนโลกการเงินของคริปโทจะคงอยู่ แต่การที่ราคา Bitcoin ปรับลงจากจุดสูงสุดราว 125,000 ดอลลาร์ในช่วงกลางปี มาที่ประมาณ 87,000 ดอลลาร์ (-30%) ระหว่างปี สะท้อนว่าความสุดโต่งของสินทรัพย์เสี่ยงเริ่มปะทะกับสภาพคล่องที่ตึงตัว และตามธรรมชาติ ‘สินทรัพย์เก็งกำไรสูง’ มักแสดงอาการก่อนตลาดอื่น

 

ผมประเมินความน่าจะเป็นที่จะเห็นฟองสบู่คริปโทแตก-หรือ Bitcoin ปรับลงมากกว่า 50% จากระดับสูงสุด-ในปี 2026 ไว้ที่ 30% ผลกระทบอาจไม่ได้ลุกลามสู่เศรษฐกิจจริงหรือระบบการเงินโดยตรงในทันที แต่จะทำให้ความกล้าเสี่ยง (risk appetite) ลดลงอย่างมีนัย และเป็นตัวเร่งให้ตลาดเริ่มตั้งคำถามกับฟองสบู่การเงินอื่น ๆ ตามมา

 

เหตุการณ์ที่สี่: ฟองสบู่ AI แตก (อันตรายที่สุด)

 

เหตุการณ์ที่อันตรายที่สุดคือฟองสบู่ AI แตก เพราะ AI ไม่ได้เป็นแค่ธีมลงทุน แต่กลายเป็นแรงหนุนหลักของวัฏจักรเศรษฐกิจในหลายมิติ ตั้งแต่ capex cycle กำไรของ Big Tech ห่วงโซ่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ไปจนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคผ่านความมั่งคั่งในตลาดทุน

 

จุดที่ทำให้ตลาดเริ่มตั้งคำถามคือกรณี OpenAI ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ใน 8 ปี ทั้งที่รายได้ปัจจุบันราว 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ตลาดเคยมองเชิงบวกเพราะเชื่อว่า OpenAI คือผู้นำที่ไร้คู่แข่ง แต่เมื่อโอกาสทางธุรกิจสูง การแข่งขันย่อมเกิดขึ้นตามมา

 

ล่าสุด Google Gemini 3.0 ถูกมองว่าสามารถสร้างผลลัพธ์ทัดเทียม ChatGPT ในด้าน reasoning และงาน agentic coding ขณะเดียวกันฝั่งจีนมีตัวอย่างอย่าง Moonshot (Kimi K2 Thinking) และ DeepSeek ที่แสดงให้เห็นว่าพัฒนาการด้าน AI ไม่จำเป็นต้องอาศัยฮาร์ดแวร์ราคาแพงหรือประสิทธิภาพสูงสุดเสมอไป

 

การแข่งขันเหล่านี้มีจะนำไปสู่สงครามราคา ทำให้การทำกำไรยากขึ้น และทำให้ capex ขนาดใหญ่ไม่ใช่หลักประกันของอนาคตอีกต่อไป เมื่อไหร่ที่ตลาดไม่เชื่อมั่น จะกลายเป็นความเสี่ยงต่อการปรับฐานเชิงโครงสร้างทั้งระบบ

 

อย่างไรก็ดี ผมประเมินว่าโอกาสที่ฟองสบู่ AI จะแตกในปี 2026 ยังไม่สูงนัก (ราว 10%) เนื่องจากบริษัท Big Tech มีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะลงทุนต่อได้อย่างน้อย 1–2 ปีข้างหน้า แต่แม้ความน่าจะเป็นไม่สูง ผลกระทบหากเกิดขึ้นจะสูงมาก และนั่นคือเหตุผลที่ต้องเตรียมรับมือไว้เสมอ

 

เมื่อเรารู้จักเหตุการณ์เสี่ยงสำคัญของปี 2026 แล้ว ขั้นต่อไปคือการออกแบบกลยุทธ์ให้ ‘อยู่รอด’ ระยะสั้น เพื่อ ‘ชนะ’ ระยะยาว

 

พอร์ตที่เหมาะกับปี 2026 ควรถูกออกแบบให้ทนต่อหลายสภาวะ ไม่ใช่ทายถูกสภาวะเดียว หลักคิดคือ (1) มีการบริหารจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ (2) ลดการพึ่งพาสินทรัพย์ที่แพ้ทางยีลด์ขึ้น (3) มีตัวกันกระแทกเมื่อความเชื่อมั่นพัง เช่น ทองหรือสินทรัพย์ปลอดภัย และ (4) ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยน ‘เรื่องราว’ มากขึ้น เพราะปีที่ย้อนแย้งมักให้ผลตอบแทนกับคนที่ยืดหยุ่น ไม่ใช่คนที่ยึดติดเรื่องราวเดียว

 

ปี 2026 จะท้าทายกว่าปีนี้แน่ และผู้ชนะจะเป็นคนที่เตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ความเสี่ยงไว้ก่อน ประเมินความเสี่ยงตาม ‘โอกาส’ ไม่ใช่ ‘ความกลัว’ เฝ้าดูจุดเชื่อมโยงของความเสี่ยง และพร้อมปรับพอร์ตให้ทันท่วงทีนะครับ

 

ภาพ: sefa ozel/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising