ตลาดหุ้นไทยนับแต่ต้นปี 2566 ยังคงเผชิญกับแรงขายอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ ด้วยมูลค่าการขายสุทธิ 1.3 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนภายในประเทศและนักลงทุนสถาบันเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 8.05 หมื่นล้านบาท และ 5.19 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิเล็กน้อย 1.86 พันล้านบาท (ณ วันที่ 24 สิงหาคม)
อย่างไรก็ตาม มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่มีปฏิสัมพันธ์กับตลาดหุ้นไทยอยู่ค่อนข้างมากในปัจจุบัน ยังคงมองว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่น่าดึงดูดมากที่สุดแห่งหนึ่งในอาเซียน แต่ความน่าลงทุนหรือหากจะพูดให้ตรงมากที่สุดคือ หุ้นไทยเป็นตลาดที่สามารถลงทุนได้ (Investability) มากที่สุดในภูมิภาค เป็นผลจากสภาพคล่องของตลาดหุ้นไทยที่สูงกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค
หุ้นไทยยังน่าดึงดูดสำหรับเทรดเดอร์ต่างชาติ
Craig Thompson, Assistant Managing Director, Equity and Derivatives Markets ของ บล.เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า หากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ตลาดหุ้นไทยถือเป็นตลาดที่มี Investability ในระดับที่ดี ในแง่ของสภาพคล่องที่สูง
ปัจจุบันจะเห็นว่าสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนภายในประเทศลดลง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของตลาด อย่างไรก็ดี Thompson มองว่าสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนแต่ละกลุ่มไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญนัก แต่สิ่งสำคัญที่อาจกระทบต่อการตัดสินใจซื้อหรือขายของนักลงทุนต่างชาติคือปริมาณการหมุนเวียนของการซื้อขายโดยเฉลี่ย
“การซื้อขายที่ลดลงของนักลงทุนในประเทศส่วนมากแล้วจะหมุนไปตามวัฏจักรในตลาด หากตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว ปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนก็จะเริ่มกลับมา”
ขณะที่แหล่งข่าวโบรกเกอร์ซึ่งให้บริการนักลงทุนต่างชาติเปิดเผยว่า แม้มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยโดยเฉลี่ยต่อวันจะลดลงมาสู่ระดับ 4-5 หมื่นล้านบาทในบางช่วง ต่ำกว่าเมื่อปีก่อนที่เคยขึ้นไปสูงราว 7 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่ยังคงเป็นระดับที่มากเพียงพอต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
“หากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ ถือว่ารับได้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาค และหากเป็นหุ้นรายตัว มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันควรจะไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อวัน โดยเปรียบเทียบหากเป็นเรื่องของสภาพคล่องสำหรับต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอาเซียนคงมองข้ามหุ้นไทยไม่ได้”
แต่ปัญหาคือ ความน่าสนใจทั้งในด้านปัจจัยพื้นฐานและแนวโน้มในอนาคตของทั้งตลาดโดยภาพรวมและทั้งกับหุ้นรายตัวที่ไม่ได้โดดเด่นนัก ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงซื้อขายในตลาดหุ้นไทยส่วนมากจะเป็นลักษณะของการเทรดดิ้ง ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับทิศทางของตลาดว่าจะปรับขึ้นหรือลง
ศุภโชค ศุภบัณฑิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บล.เกียรตินาคินภัทร กล่าวว่า นักลงทุนสถาบันต่างชาติในปัจจุบันมองเมืองไทยว่าอยู่ในสถานะ ‘Underweight’ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเกิดขึ้นจากความกังวลทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ดี ความกังวลนั้นคลี่คลายลงเมื่อนักลงทุนเห็นว่าประเทศไทยมีการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และเริ่มหาโอกาสเข้าซื้อหุ้นไทยแบบเลือกเป็นรายบริษัท (Selective)
Algo Trading เครื่องมือช่วยให้ซื้อขายได้ในราคาดีที่สุด
Christopher Dunham, Head of ASEAN Sales and Trading ของ Jefferies Securities กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่ยอดเยี่ยมในแง่ของสภาพคล่อง หากเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย หุ้นไทยมีความใกล้เคียงกับสิงคโปร์และมาเลเซีย แต่มีสภาพคล่องที่ดีกว่า
สำหรับหุ้นไทยเราเริ่มเห็นการเปลี่ยนวิธีส่งคำสั่งซื้อขายด้วยมือ หรือที่เรียกว่า High Touch มาเป็น Electronic Trading ตั้งแต่ปี 2553 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเป็นช่องทางหลักในการส่งคำสั่งซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในปัจจุบัน มีสัดส่วนประมาณ 70% ของการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ
- ความต้องการในการเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งคำสั่งซื้อขาย (Drive for Efficiency)
- การเข้ามาและความหลากหลายของ Execution Algo ต่างๆ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมีต้นทุนต่ำ
- ความต้องการในการลดต้นทุนทางด้าน Transaction Cost
- การเติบโตของผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ เช่น Index Funds
Joy Francis, Global Markets Electronic Trading Sales ของ UBS Securities กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักของการใช้ Algo Trading ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Electronic Trading คือช่วยให้นักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ในราคาที่ดีที่สุด และมีผลกระทบต่อตลาดน้อยที่สุด หมายความว่าการซื้อหรือขายนั้นๆ ไม่ควรจะทำให้ราคาหุ้นในตลาดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งการใช้เพื่อควบคุมความเสี่ยงให้เหมาะสม
ส่วนประเด็นที่ว่านักลงทุนรายย่อยควรที่จะนำ Algo Trading มาใช้เหมือนกับนักลงทุนสถาบันด้วยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าขนาดของพอร์ตลงทุนใหญ่เพียงใด หากเป็นพอร์ตลงทุนขนาดใหญ่ที่ต้องอาศัยการเข้าซื้อในปริมาณมาก การใช้ Algo Trading จะช่วยให้การซื้อหรือขายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเภทของ Algo Trading ที่อยู่ภายใต้การให้บริการของ Electronic Trading ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการส่งคำสั่ง สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่
- Scheduled Strategies ที่ทำงานตามเวลา เช่น TWAP หรือ Time Weighted Average Price
- Participative Strategies ที่ทำงานตามปริมาณซื้อขายที่เกิดขึ้น เช่น POV หรือ Percentage of Volume
- Opportunistic Strategies อย่างเช่น Liquidity Seeking
- Aggressive Strategies เช่น IS หรือ Implementation Shortfall ที่จะพยายามส่งคำสั่งให้ไวที่สุดโดยใช้ราคาที่ถูกส่งคำสั่งเข้ามาล่าสุดในตลาดเป็นตัวชี้วัด
ตลท. กระตุ้นบริษัทไทยลงทุนธุรกิจใหม่
“ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน 65% ในตลาดเติบโตสูงขึ้น แต่ปัญหาคือการเติบโตของรายได้ในธุรกิจใหม่ๆ มีไม่มากนัก โดยเฉพาะหากเทียบกับตลาดในภูมิภาค” แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าว
แมนพงศ์กล่าวต่อว่า ธุรกิจที่โดดเด่นของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันคือเรื่องบริการและท่องเที่ยว แต่สิ่งที่เรามักจะพูดถึงกันเสมอคือการสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่เรายังขาดอยู่มากคือการพูดถึงธุรกิจใหม่ๆ แม้ว่าจะเริ่มเห็นการเพิ่มขึ้นบ้างในหมวดเทคโนโลยี
นอกจากนี้ เรื่องของ Capital Gain Tax หรือภาษีกำไรจากการขายหุ้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย และอาจทำให้ความน่าสนใจของหุ้นไทยลดลงในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ
หากการเรียกเก็บภาษี Capital Gain Tax เกิดขึ้นจริง แมนพงศ์กล่าวว่า สิ่งที่เราทำได้คือการให้ข้อมูลกับภาครัฐว่าผลที่เกิดขึ้นจากภาษีคืออะไรบ้างทั้งในด้านบวกและด้านลบ
ด้านบวกคือแหล่งที่มาของภาษีที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้คือมูลค่าการซื้อขายที่ลดลง ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ภาษีที่เก็บได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ และเมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลงก็มีโอกาสที่จะทำให้มูลค่าของหุ้นในตลาดลดลงไปด้วย
“ปัญหาตอนนี้คือไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามูลค่าจะลดลงไปเท่าใด ซึ่งหากมูลค่าของตลาดลดลง ผู้ที่ได้รับผลกระทบจะไม่ใช่แค่นักลงทุนที่แอ็กทีฟในตลาดเพียง 2-3 ล้านราย แต่จะกระทบกับความมั่งคั่งของผู้คนที่ไม่ได้ลงทุนในตลาดโดยตรงแต่ลงทุนผ่านสถาบันต่างๆ ด้วยเช่นกัน”
ทั้งนี้ สิ่งที่ตลาดต้องพยายามทำคือ การหาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ หรือหาสินค้าใหม่ เช่น หุ้น IPO ใหม่ที่น่าสนใจลงทุน