ข้อมูลจากสมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ระบุว่า ในเดือนเมษายน 2568 มีกระแสเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลเข้าสุทธิใน ตลาดพันธบัตรไทย แล้วประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ต่างชาติซื้อสุทธิในพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้ว 5.8 หมื่นล้านบาท และ 1.7 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ฟันด์โฟลวยังคงไหลออกจากหุ้นไทยต่อเนื่องในเดือนเมษายน 1.4 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว 5.7 หมื่นล้านบาท นับจากต้นปีที่ผ่านมา
ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เงินทุนที่ไหลเข้ามาลงทุนในบอนด์ไทย นักวิเคราะห์ประเมินว่ามาจากความไม่เชื่อมั่นต่อดอลลาร์จากสงครามการค้า ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น จากในวันที่ 10 เมษายน ที่สหรัฐฯ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บ reciprocal tariff ไปอีก 90 วัน อีกทั้งมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกมาตั้งแต่วันที่ 8-11 เมษายน ช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนไทยได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ SET Index มีความผันผวนน้อยกว่าหลายตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค
นอกจากนี้ หลังวันที่ 16 เมษายน ดัชนี SET ปรับเพิ่มขึ้น โดยจำนวนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกในแต่ละวันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและกระจายไปในหลายอุตสาหกรรม ขณะที่มูลค่า (Valuation) ของหุ้นไทยยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
โดยภาพรวมดัชนี SET ปรับตัวลงประมาณ 13% จากปีก่อน มาอยู่ที่ราว 1,210 จุด โดยก่อนหน้านี้ดัชนีร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,056.41 จุด ณ วันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา
สำหรับภาวะตลาดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 ดัชนี SET ปิดที่ 1,197.26 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.4% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่วนภาพรวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ปรับลดลง 14.5%
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,410 ล้านบาท หรือลดลง 11.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผู้ลงทุนต่างประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 50.52%
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 13.0 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 11.5 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ระดับ 4.00% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.40%