นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทย 11 วันรวด มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท หลังดัชนี SET พุ่งกว่า 20% ใน 2 เดือน
ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยร่วงลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่รอบกว่า 5 ปี ที่ระดับ 1,053 จุด เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากนั้นดัชนี SET ฟื้นตัวต่อเนื่อง กลับมาสู่ระดับ 1,280 จุด ภายในเวลาประมาณ 2 เดือน คิดเป็นการฟื้นตัวราว 22% พร้อมกับแรงซื้อสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท ของนักลงทุนต่างชาติ ตลอดเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ล่าสุด นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยติดต่อกัน 11 วันทำการ (13 – 27 ตุลาคม) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในรายละเอียด โดยตัดรายการขายหุ้น Big Lot ของบริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เมื่อ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิต่อเนื่อง 10 วันทำการ
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า หากตัด Big Lot ของหุ้น TIDLOR วันที่ 13 สิงหาคม ต่างชาติจะมีสถานะเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ ส่วนแรงขายหนักกว่า 6 พันล้านบาท เมื่อ 26 สิงหาคม เป็นผลจากการปรับพอร์ตตามการปรับน้ำหนักตาม MSCI
“อาจพูดได้ว่าช่วงที่ผ่านมาเป็นแรงขายทำกำไรระยะสั้นหลังหุ้นขึ้นมาต่อเนื่อง หากดูจากดัชนี SET จะเห็นว่าไม่ได้กระทบมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศ บนภาวะที่เงินทุนไม่มีที่ไป เนื่องจากบอนด์ยีลด์ในประเทศทำจุดต่ำสุดใหม่แทบทุกวัน และยังมีโอกาสต่ำลงได้อีก เพราะแบงก์ชาติมีโอกาสจะลดดอกเบี้ยหลังจากนี้”
ส่วนแรงขายเมื่อ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งอาจเป็นการลดความเสี่ยงเรื่องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีของนายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 สิงหาคมนี้
ส่วนมุมมองต่อดัชนี SET ช่วงที่เหลือของปีนี้ ณัฐชาตมองว่าดัชนีน่าจะวิ่งในกรอบ 1,200 – 1,300 จุด หากจะเห็นดัชนีทะลุ 1,300 จุดไปได้ อาจต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น การประกาศยุบสภา
“หากดูสถิติในอดีต การยุบสภามักส่งผลกระทบต่อดัชนี SET ในทางที่ไม่ดีนัก แต่ด้วยความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลปัจจุบัน การยุบสภาอาจเรียกความเชื่อมั่นได้บ้าง”
ด้าน เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แรงขายของต่างชาติต่อเนื่องเป็นการขายทำกำไรหลังจากหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังจากนี้ยังมีโอกาสจะเห็นหุ้นไทยวิ่งไปสู่ระดับ 1,300 จุด ได้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยการเมืองอาจไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก ไม่ว่าคำตัดสินของศาลจะออกมาอย่างไร เนื่องจากนายกรัฐมนตรียังน่าจะเป็นตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย จึงไม่น่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก
ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหลังจากนี้คือทิศทางของอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ดอกเบี้ยน่าจะเป็นขาลงชัดเจน ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยก็น่าจะปรับลงได้อีก ทำให้ช่องว่างระหว่างผลตอบแทนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ที่กว้าง น่าจะช่วยให้เงินเข้าสู่ตลาดหุ้นได้มากขึ้น
