ติดอาวุธลงทุนทั่วโลกด้วยกลยุทธ์ในแบบคุณ ด้วย Flexible Portfolio

การบริหารพอร์ตลงทุนภายใต้ภาวะที่มีความผันผวนสูงอย่างในยุคปัจจุบัน การกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสมในหลากหลายสินทรัพย์ถือเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องให้ความสำคัญในการรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

การผสมผสานการลงทุนระหว่างสินทรัพย์แต่ละประเภท นักลงทุนจำเป็นต้องเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความเสี่ยงของตนด้วย รวมถึงมีแผนสำรองหรือมองหากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อให้การลงทุนเป็นตามความคาดหวัง การบริหารพอร์ตที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้ทันสถานการณ์อยู่เสมอจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เพื่อตอบโจทย์ให้กับนักลงทุนที่ชอบออกแบบพอร์ตให้มีความยืดหยุ่นด้วยตัวเอง ล่าสุด StashAway แพลตฟอร์มบริหารการลงทุนด้วยเทคโนโลยีที่เน้นการลงทุนใน ETF ซึ่งถือเป็น WealthTech ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงพัฒนาและเปิดตัวนวัตกรรม ‘Flexible Portfolio’ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้นักลงทุนสามารถ Customise พอร์ตได้ตามความต้องการจากพอร์ตต้นแบบ หรือ Create พอร์ตใหม่ได้ในแบบของตัวเองจากสินทรัพย์ที่มีให้เลือกกว่า 35+ ประเภท

ต้องบอกว่า Flexible Portfolio ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากความคิดเห็นและความต้องการของนักลงทุน โดยนักลงทุนมักถาม StashAway เข้ามาว่าพวกเขาสามารถ ‘ปรับสัดส่วนพอร์ต’ หรือ ‘เลือกสินทรัพย์ลงทุนเองได้ไหม?’

เพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว StashAway จึงพัฒนาโซลูชันการลงทุนจนออกมาเป็น ‘Flexible Portfolio’ ที่มีจุดเด่นคือ ใช้งานง่าย, ปรับเพิ่ม-ลดสัดส่วนสินทรัพย์ที่ต้องการได้ตลอดเวลา, คำนวณความเสี่ยงและผลการดำเนินงานย้อนหลังพอร์ตให้ทันที โดย StashAway จะ Rebalancing พอร์ตให้อัตโนมัติ เพื่อรักษา Asset Allocation ตามที่นักลงทุนกำหนดไว้, ค่าธรรมเนียมต่ำ และที่สำคัญคือ มีสินทรัพย์ให้เลือกหลากหลายกว่า 35+ สินทรัพย์ทั่วโลก เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ชอบออกแบบพอร์ตด้วยตัวเอง

เอาล่ะ! เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 6 Points หลักเกี่ยวกับ Flexible Portfolio ของ StashAway ว่ามีข้อดีและจุดเด่นอะไรกันบ้าง

จัดพอร์ตลงทุนต่างประเทศได้ตามใจจาก 35+ สินทรัพย์ทั่วโลก

ด้วยพอร์ตแบบ Flexible ของ StashAway นักลงทุนจะสามารถเลือก Customise หรือ Create พอร์ตจากหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกกว่า 35+ สินทรัพย์ ซึ่งด้วยจุดเด่นนี้เอง ทำให้ไม่ว่าเราต้องการจะลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น, หุ้นสหรัฐฯ, หุ้นเทคโนโลยี, หุ้นใน Thematic ต่างๆ ที่เป็น Megatrend, พันธบัตรรัฐบาลชดเชยเงินเฟ้อ, ตราสารหนี้ทั่วโลก รวมไปถึง REITs และตลาดโภคภัณฑ์ อย่างทองคํา แบบมิกซ์แอนด์แมตช์ ก็สามารถทำได้ตามสไตล์ตัวเอง

โดยข้อดีของการมีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนเยอะมากกว่า 35+ ประเภท คือจะช่วยทำลายข้อจำกัดในการกระจุกตัวลงทุน เปิดโอกาสให้ลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ ตามความสนใจเฉพาะของนักลงทุนได้

ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ในแต่ละสินทรัพย์ StashAway ยังได้คัดเลือก ETF คุณภาพจากบริษัทจัดการกองทุนช้ันนําของโลก อย่าง iShares by BlackRock, SPDR, VanEck, Vanguard, ARK และ Global X ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลามานั่งวิเคราะห์หากองทุน ETF ที่ดีที่สุดด้วยตัวเองอีกด้วย

รู้ความเสี่ยงและผลการดำเนินงานย้อนหลังพอร์ตที่ออกแบบได้ชัดเจน!

หลายคนอาจเคยเห็นการแบ่งระดับความเสี่ยงที่ ‘สูง-กลาง-ต่ำ’ แต่กลับไม่รู้ว่าความเสี่ยงที่แท้จริงของเราอยู่ที่เท่าไรกันแน่?

ด้วยความเชื่อว่านักลงทุนควรเข้าใจและรับรู้ระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนอย่างแท้จริง ระบบของ StashAway จึงแสดงระดับความเสี่ยงที่ชัดเจนเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของ Flexible Portfolio

ยกตัวอย่างเช่น หากพอร์ตแบบ Flexible ของคุณมีระดับความเสี่ยงปานกลาง จะแสดงตัวเลขที่ชัดเจนว่า “มีโอกาส 99% ที่มูลค่าพอร์ตลงทุนของคุณจะไม่ลดลงมากกว่า 19% ใน 1 ปี” ระบบจะคำนวณระดับความเสี่ยงจากผลตอบแทนและสมมติฐานของแต่ละสินทรัพย์ในระยะยาว ซึ่งจะอัปเดตทุกไตรมาส

นอกจากนี้ ผู้ลงทุนยังสามารถรู้ผลการดำเนินงานย้อนหลังของพอร์ตที่ตัวเองสร้างขึ้นได้ทันที เพื่อให้เข้าใจภาพการลงทุนของพอร์ตตนเองได้ชัดยิ่งขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งความว้าวที่ StashAway ตั้งใจมอบให้กับนักลงทุน

Customise จากพอร์ตต้นแบบ หรือ Create พอร์ตใหม่ตามที่นักลงทุนต้องการ

โดย Flexible Portfolio มี 2 ทางเลือกให้กับผู้ลงทุน คือ

Customise หรือเลือกพอร์ตจาก 5 พอร์ตต้นแบบ จากน้ันเพิ่ม-ลด หรือปรับสัดส่วนสินทรัพย์

โดยพอร์ตต้นแบบ 5 พอร์ต เป็นพอร์ตที่มาจาก General Investing ซึ่งจะกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกด้วยกลยุทธ์การลงทุน ERAA™ (Economic Regime-based Asset Allocation) เพื่อเป็นแนวทางให้กับลูกค้าในการ Customise สินทรัพย์หรือสัดส่วนในพอร์ต ซึ่งมีให้เลือกตามระดับความเสี่ยงดังนี้

ตํ่า
กลาง
กลางค่อนข้างสูง
สูง
สูงมาก

โดยพอร์ตแบบ Customise จะเหมาะสำหรับคนที่ยังไม่รู้จะจัดพอร์ตอย่างไรดี แต่อยากปรับสินทรัพย์บางตัวในพอร์ต

Create หรือสร้างพอร์ตใหม่เองต้ังแต่ต้น โดยคัดเลือกและออกแบบสินทรัพย์และสัดส่วนเองทั้งหมด

ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่รู้อยู่แล้วว่าอยากลงทุนอะไร และอยากจัดพอร์ตแบบไหน

มีระบบ Rebalancing ให้โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม!

เมื่อนักลงทุนกําหนด Asset Allocation เรียบร้อยแล้ว StashAway จะ Rebalancing พอร์ตให้อัตโนมัติ เพื่อรักษา Asset Allocation (สัดส่วนสินทรัพย์) ตามที่นักลงทุนกําหนดไว้

การทํา Rebalancing คือ การรักษาสมดุลของพอร์ต หรือการรักษาสัดส่วนสินทรัพย์ตาม Asset Allocation ที่นักลงทุนกําหนดไว้ โดยระบบจะตรวจสอบในทุกๆ วัน หากสัดส่วนของสินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงเกินเกณฑ์ ระบบจะซื้อขายสินทรัพย์เพื่อคงสัดส่วนสินทรัพย์ตามที่กําหนดไว้

ข้อดีของ Flexible Portfolio ในจุดนี้นับว่าโดดเด่นมากๆ เพราะเปรียบเสมือนผู้ลงทุนมีผู้ช่วยคอยติดตามพอร์ตให้ จึงสามารถทุ่มเทเวลาไปทำสิ่งที่สำคัญกว่าได้ โดยไม่ต้องคอยนั่งซื้อขายให้พอร์ตตรงตามแผนที่วางไว้ตอนแรก

ที่สําคัญการทํา Rebalancing ยังไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (Trading Commission) ที่นักลงทุนมักจะเจอเวลาทำ Rebalancing

มาพร้อม Feature ที่ทําให้การลงทุนทุกรูปแบบของคุณ Flexible!

‘Flexible Portfolio’ ที่พัฒนาขึ้นโดย StashAway จะมาพร้อม 5 ฟีเจอร์หลักที่แตกต่างจากการลงทุนแบบดั้งเดิม และตอบโจทย์การลงทุนรูปแบบใหม่ ดังนี้

สามารถปรับ Asset Allocation (สัดส่วนสินทรัพย์) ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
สามารถสร้าง Flexible Portfolio ได้แบบไม่จํากัดจํานวนพอร์ต
ไม่มีกําหนดเงินลงทุนขั้นตํ่า
ไม่มีระยะเวลาขั้นตํ่าในการลงทุน
ไม่มีค่าธรรมเนียมการปรับพอร์ต ไม่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Trading Commission) เวลาปรับพอร์ต

ให้คุณลงทุนใน Flexible Portfolio แบบฟรีค่าธรรมเนียม! ถึง 30 มิถุนายน 2023

สุดท้ายนี้ StashAway ยังมอบสิทธิพิเศษให้กับนักลงทุนที่สนใจ Flexible Portfolio โดยจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดการ ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายน 2023 สำหรับทุกการฝากเงินลงทุนก้อนใหม่ใน Flexible Portfolio

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3sUwQWV