ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด, ไวรัสโคโรนาลามสิงคโปร์-เวียดนาม: 5 ปัจจัยที่นักลงทุนต้องรู้ (24 ม.ค. 2563)

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมตามคาด โดยแบ่งเป็น 1. Main Refinancing Operations ที่ 0.00% 2. Marginal Lending Facility Rate ที่ 0.25% 3. Deposit Facility Rate ที่ -0.50% นอกจากนี้ยังคงวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมในโครงการ Asset Purchase Programme (APP) ที่ระดับ 2 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน และคงการ Reinvest ในส่วนของพันธบัตรที่ครบกำหนดจากการลงทุนก่อนหน้าต่อไป ไปจนกว่าแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะเข้าสู่ระดับใกล้เคียง 2.0% ตามเป้าหมาย พร้อมกันนั้นยังระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอ่อนแอ แต่มีสัญญาณที่ดีขึ้นเล็กน้อยในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ ECB เริ่มการทบทวนมาตรการทางเศรษฐกิจ เพื่อเตรียมดำเนินการต่อไปให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น

จับตาตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ โดยวันนี้เยอรมนีมีกำหนดประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมเบื้องต้น (Manufacturing PMI) ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 44.5 จุด ฟื้นตัวจากครั้งก่อนหน้าที่ระดับ 43.7 จุด สะท้อนมุมมองทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวขึ้น สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับสหราชอาณาจักรที่มีกำหนดการประกาศวันนี้เช่นเดียวกัน โดยในส่วนของสหราชอาณาจักรนั้นถูกคาดว่าจะประกาศออกมาที่ 47.6 จุด ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยจากครั้งก่อนหน้าที่ 47.5 จุด แต่ยังคงอยู่ในแดนหดตัวทั้ง 2 ประเทศ

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ลามสิงคโปร์-เวียดนาม WHO ยังไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน วานนี้กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามและสิงคโปร์ออกแถลงการณ์ว่า ตรวจพบผู้ป่วยไวรัสโคโรนาแล้ว 2 และ 3 คน ตามลำดับ สะท้อนภาวะการระบาดที่ขยายตัวมากขึ้น ด้านองค์การอนามัยโลกยังสงวนท่าทีต่อการประกาศภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพระหว่างประเทศ หลังส่งทีมผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่ในจีน เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม ก่อนจะพิจารณาสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง

รัฐบาลสหราชอาณาจักรประกาศบังคับใช้ร่างกฎหมายขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (Withdrawal Agreement Bill) หลังผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา รวมไปถึงการลงพระปรมาภิไธยรับรองจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่สหราชอาณาจักรจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 มกราคม และเข้าสู่ช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ซึ่งมีกำหนดจะสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2020 ก่อนที่จะเริ่มการเจรจารูปแบบความสัมพันธ์ทางกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อในภายหลัง

บริษัท Intel ผู้ผลิตชิปและเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของโลก ประกาศผลประกอบการออกมามีกำไร 1.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น ขยายตัวขึ้นกว่า 40% (YoY) จากรายได้กว่า 2.02 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งขยายตัว 8% (YoY) สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Intel จะมียอดรายได้ที่ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีกำไรต่อหุ้นที่ 1.32 ดอลลาร์ โดยมีรายได้ในส่วนของ Data Center ซึ่งเป็นสัดส่วนถึง 35.6% ของรายได้ทั้งหมดที่ขยายตัวขึ้นถึง 20% (YoY) ส่งผลให้หุ้น Intel ปรับตัวบวกกว่า 4.68% ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา

สรุปภาพรวมตลาดวานนี้

ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลง จากความกังวลเรื่องไวรัสโคโรนาที่ยังมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดมากขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนในหุ้นที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ต่อไป ขณะที่ S&P 500 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ส่วน Nasdaq ปรับตัวขึ้นและทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง โดยได้แรงหนุนจาก Netflix ที่ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 7% ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงจากความกังวลของโรคระบาดไวรัสโคโรนาที่แพร่กระจายในจีนเช่นกัน โดยหุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม และสินค้าหรูหรา ปรับตัวลงแรง เนื่องจากทางจีนเป็นคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงจากความกังวลที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว อาจส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง อาจเกิดภาวะน้ำมันล้นตลาดได้ รวมไปถึงสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ด้านราคาทองคำปรับตัวขึ้นจากความกังวลของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา ส่งผลให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น

สหรัฐฯ