- สหรัฐฯ เปิดศึกการค้าใหม่อีกครั้ง วานนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเตรียมเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมจากบราซิลและอาร์เจนตินา ในข้อกล่าวหาว่าทั้งสองประเทศมีเจตนาลดค่าเงินของตนเอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีการพาดพิงถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อีกครั้งในแง่ของการกล่าวย้ำว่า Fed ควรจะหาทางช่วยให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเพื่อช่วยให้ประเทศอื่นๆ ไม่สามารถหาผลประโยชน์จากการแข็งค่าของดอลลาร์ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป
- จีนเตรียมเดินหน้าลด VAT กระตุ้นเศรษฐกิจ สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าทางการจีนกำลังพิจารณาการปรับลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับภาคอุตสาหกรรมลง 3% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังจากที่ความไม่แน่นอนกรณีสงครามการค้ายังคงกดดันการลงทุนและการส่งออกของจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศนโยบายนี้อย่างเป็นทางการภายในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งจะช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในภาคอุตสาหกรรมจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยแนวคิดการปรับลด VAT ครั้งนี้คาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายการคลังแบบ ‘Proactive’ ของทางการจีน ซึ่งประกาศไว้ก่อนหน้านี้ และนักวิเคราะห์คาดว่าหากเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอตัว ทางการจีนจะยังคงมีมาตรการการคลังออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
- ธปท. เตรียมหารือกรอบเงินเฟ้อใหม่หลังพลาดเป้า วานนี้ เมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพทางการเงิน ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่า ธปท. มีแนวคิดที่จะกำหนดกรอบเงินเฟ้อเป้าหมายในรูปแบบใหม่ จากเดิมที่มีค่ากลางที่ 2.5% และกรอบที่ +/- 1.5% ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเป้าหมายไทยนั้นอยู่ที่ระดับ 1.0-4.0% โดยจะพิจารณากรอบที่เหมาะสมใหม่ ซึ่งแคบลง ไม่มีค่ากลาง และเป็นเป้าหมายในระยะกลางมากกว่าระยะสั้นแบบเดิม นอกจากนี้แล้ววานนี้ยังมีการประกาศอัตราเงินเฟ้อทั่วไปประจำเดือนพฤศจิกายนซึ่งอยู่ที่ 0.21% (YoY) โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนจากการบริโภคที่เพิ่มมากขึ้นและการฟื้นตัวของราคาสินค้าเกษตรบางชนิด อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับเดือนตุลาคมที่ผ่านมาจะพบว่าอัตราเงินเฟ้อหดตัวลงเล็กน้อยที่ -0.13% (MoM) เฉลี่ยนับตั้งแต่ต้นปี เงินเฟ้อปรับตัวขึ้น 0.69% คาดว่าทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 0.7-1.0% ใกล้เคียงระดับเป้าหมายที่ตั้งไว้
- PMI ยุโรปฟื้นผิดคาด สหรัฐฯ ร่วง วานนี้มีการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งนักลงทุนยังคงเฝ้าจับตาการประกาศดัชนีดังกล่าว โดยคาดการณ์ว่าดัชนีของสหรัฐฯ จากสถาบัน ISM จะฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับใกล้เคียงการขยายตัวได้อีกครั้งที่ระดับ 49.2 จุด จากระดับเดิมที่ 48.3 จุด แต่ผลปรากฏว่าตัวเลขออกมาที่ 48.1 จุด หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จากปัจจัยสงครามการค้าที่นักลงทุนและอุตสาหกรรมยังมองว่ามีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manucacturing PMI) ในภูมิภาคอื่นๆ อย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป ต่างประกาศออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศสและจีนที่สามารถยืนอยู่เหนือระดับ 50 จุด สะท้อนมุมมองเชิงบวกและการขยายตัวได้ต่อเนื่อง
- สหรัฐฯ เตรียมเดินหน้าเก็บภาษีแชมเปญฝรั่งเศสเพิ่ม หลังจากกรณีพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และฝรั่งเศสมีการเลื่อนเจรจา 90 วัน และสิ้นสุดกำหนดการเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการที่ฝรั่งเศสเตรียมเรียกเก็บภาษีเงินได้จากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ อย่าง Google, Facebook, Apple และ Amazon นั้น ล่าสุดสำนักผู้แทนการค้ากล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าสหรัฐฯ เตรียมดำเนินการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมสูงสุด 100% บนสินค้ากลุ่มแชมเปญ, กระเป๋า, ชีส และสินค้าอื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านดอลลาร์
ภาวะตลาดวานนี้
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงอีกครั้งจากความกังวลกรณีดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ (ISM Manufacturing PMI) หดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมไปถึงกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดศึกการค้าครั้งใหม่กับบราซิลและอาร์เจนตินา โดยขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียม ส่งผลให้ดัชนี Dow Jones, S&P500 และ Nasdaq รวมไปถึงตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงทั้งหมด โดยตลาดหุ้นเยอรมนีและฝรั่งเศสปิดลบมากกว่า 2% เนื่องจากนักลงทุนเริ่มชะลอการลงทุนจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า
- ราคาน้ำมันปิดบวกจากตัวเลขส่งออกน้ำมันของกลุ่ม OPEC ที่ลดลง ยกเว้นอิรักและซูดาน รวมไปถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมของจีน (Caixin Manufacturing PMI) ที่ประกาศออกมาดีกว่าคาด แสดงถึงฝั่งอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ฝั่งอุปทานเริ่มลดลง ด้านราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อยจากผลการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีนและยุโรปที่ประกาศออกมาดีกว่าคาด ซึ่งอาจช่วยให้เศรษฐกิจไม่ชะลอตัวอย่างที่กังวลไว้
สหรัฐฯ
- Dow 30 ปิดที่ 27783.04 ลดลง 268.37 (-0.96%)
- S&P500 ปิดที่ 3113.87 ลดลง 27.11 (-0.86%)
- Nasdaq ปิดที่ 8567.99 ลดลง 97.48 (-1.12%)
ยุโรป
- DAX ปิดที่ 12964.68 ลดลง 271.7 (-2.05%)
- FTSE 100 ปิดที่ 7285.66 ลดลง 60.87 (-0.83%)
- Euro Stoxx 50 ปิดที่ 3626.66 ลดลง 76.92 (-2.08%)
- FTSE MIB ปิดที่ 22728.59 ลดลง 530.74 (-2.28%)
เอเชีย
- Nikkei 225 ปิดที่ 23529.5 เพิ่มขึ้น 235.59 (+1.01%)
- S&P/ASX 200 ปิดที่ 6862.3 เพิ่มขึ้น 16.3 (+0.24%)
- Shanghai ปิดที่ 2875.81 เพิ่มขึ้น 3.83 (+0.13%)
- SZSE Component ปิดที่ 9605.19 เพิ่มขึ้น 23.03 (+0.24%)
- China A50 ปิดที่ 13608.59 เพิ่มขึ้น 20.36 (+0.15%)
- Hang Seng ปิดที่ 26444.72 เพิ่มขึ้น 98.23 (+0.37%)
- Taiwan Weighted ปิดที่ 11502.83 เพิ่มขึ้น 13.26 (+0.12%)
- SET ปิดที่ 1569.53 ลดลง 21.06 (-1.32%)
- KOSPI ปิดที่ 2091.92 เพิ่มขึ้น 3.96 (+0.19%)
- IDX Composite ปิดที่ 6130.06 เพิ่มขึ้น 118.22 (+1.97%)
- BSE Sensex ปิดที่ 40802.17 เพิ่มขึ้น 8.36 (+0.02%)
- PSEi Composite ปิดที่ 7877.19 เพิ่มขึ้น 138.23 (+1.79%)
Commodity
- ราคาน้ำมัน Crude Oil WTI ปิดที่ 56.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.88 (+1.6%)
- ราคาน้ำมัน Brent Oil ปิดที่ 61.23 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.74 (+1.22%)
- ราคาทองคำ Gold ปิดที่ 1468.45 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลง 4.25 (-0.29%)
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- Infoquest
- Bloomberg
- Investing
- CNBC
- Reuters