×

วิเคราะห์ ‘ข้อดี-ข้อเสีย’ การจัดเก็บ ‘ภาษีขายหุ้น’ พร้อมเปิด 10 แนวทางพัฒนาตลาดทุนไทย

22.12.2022
  • LOADING...

THE STANDARD WEALTH ชวนวิเคราะห์ ‘ข้อดีและข้อเสีย’ จากการเก็บ ‘ภาษีขายหุ้น’ หรือ FTT หลังไทยประกาศเตรียมจัดเก็บภาษีนี้กลางปีหน้า พร้อมเปิด 10 แนวทางพัฒนาตลาดทุนไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 

ภาษีธุรกรรมทางการเงิน (Financial Transaction Tax) เป็นภาษีที่หลายประเทศมีการจัดเก็บ รวมทั้งฮ่องกง, สหราชอาณาจักร, เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งล้วนเป็นตลาดหุ้นหลักของโลก 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ประโยชน์หรือข้อดีของการใช้ภาษีนี้คือ ต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น อาจช่วยลดธุรกรรมเก็งกำไรระยะสั้นได้ ข้อดีอีกประการคือ FTT สามารถเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล หรือช่วยลดการขาดดุลได้ โดยเฉพาะในช่วงหลังการระบาดใหญ่ ซึ่งรัฐบาลหลายประเทศได้กู้ยืมเงินมาเป็นจำนวนมาก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ระดับหนี้สาธารณะของหลายประเทศแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี

 

ซึ่งสอดคล้องกับคำชี้แจงของกรมสรรพากรก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า การเรียกเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ ‘ภาษีขายหุ้น’ มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีและลดความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้

 

ผลกระทบ FTT ต่อธุรกิจและเศรษฐกิจวงกว้าง 

อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายยังตั้งข้อสังเกตว่าการนำ FTT มาใช้ก็มีข้อเสียเช่นกัน เนื่องจากภาษีดังกล่าวอาจทำให้สภาพคล่องในตลาดและความสามารถในการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยลดลง รวมทั้งทำให้นักลงทุนเข้าถึงตลาดทุนได้ยากขึ้น อีกทั้งมูลค่าตลาดที่ด้อยลงจากสภาพคล่องที่ลดลงดังกล่าว ยังส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์ที่นักลงทุนระยะยาวถือครองอยู่ลดลงตามไปด้วย แม้ไม่ได้ทำธุรกรรมขายหุ้นใดเลยก็ตาม 

 

นอกจากนี้ FTT ยังสามารถส่งผลกระทบต่อการระดมทุนของภาคธุรกิจได้ เนื่องจากต้นทุนภาษีที่สูงขึ้นทำให้นักลงทุนต้องการซื้อและขายหลักทรัพย์น้อยลง ส่งผลให้อัตราส่วนราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ของบริษัทและตลาดลดลงได้ ซึ่ง P/E ที่ไม่น่าดึงดูดนี้ อาจลดแรงจูงใจในการนำบริษัทเข้าตลาด หรือหากนำเข้าจดทะเบียนก็จะระดมเงินทุนได้น้อยลง ดังนั้นธุรกิจต่างๆ จะขาดแหล่งเงินทุนที่จำเป็นต่อการเติบโต ซึ่งท้ายสุดจะส่งผลเสียต่อการขยายตัวและพัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

เสียงสะท้อนจากผู้มีส่วนร่วมในตลาด

ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า มีจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการเก็บ FTT เพราะในระยะยาวจะเป็นผลเสียกับตลาดหุ้นไทย เนื่องจากเป็นการลดความสามารถในการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยลง พร้อมทั้งชี้ว่าจากข้อมูลที่เคยคำนวณก่อนหน้านี้ ในกรณีที่มีการจัดเก็บ FTT จะมีผลกระทบให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรวมในตลาดหุ้นเสี่ยงจะลดลง 30-40% เหลือเฉลี่ยราว 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากฐานตัวเลขเฉลี่ยตอนนั้นอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 8 หมื่นล้านบาทต่อวัน

 

ขณะที่ กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO ยืนยันว่าช่วงนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บภาษีขายหุ้น หลังจากสภาพคล่องของตลาดหลักทรัพย์ไทยลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือน้อยกว่าครึ่งของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ปัจจุบันตลาดยังผันผวนปั่นป่วนอย่างยิ่ง หุ้น พันธบัตร ทองคำ ค่าเงิน สินทรัพย์ใหม่ และจะผันผวนไปอีกระยะ ทั้งยังมีวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นรออยู่ข้างหน้า 

 

ทางด้าน ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวในรายการ Morning Wealth ของ THE STANDARD WEALTH ว่า การเก็บภาษีขายหุ้นในจังหวะเวลานี้ยิ่งเป็นปัจจัยซ้ำเติมให้สภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยยิ่งหายไปอีก เพราะปัจจุบันแม้จะยังไม่มีการเก็บภาษีขายหุ้น แต่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยกำลังเป็นขาลงอย่างหนักอยู่แล้ว จากปี 2564 ที่เคยสูงถึงระดับ 9.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน 

 

ถึงเวลา ‘ตลาดทุนไทย’ ต้องพัฒนา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศ

กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) ร่วมกับ Mckinsey & Company (Thailand) Co.,Ltd. บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการระดับโลก จัดทำรายงานสมุดปกขาว Improving Thailand’s Capital Market Competitiveness and Efficiency ศึกษาถึงโอกาสและข้อจำกัดของโครงสร้างตลาดทุนไทยด้านความสามารถในการแข่งขันและประสิทธิภาพ เพื่อรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายในด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและระดับโลก

 

โดยการศึกษาพบว่า ตลาดทุนไทยยังเป็นกลไกหลักที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างยั่งยืน และในภาพรวมตลาดทุนไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขัน เมื่อเทียบกับประเทศในอาเซียน อีกทั้งเป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวที่ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรม และเป็นแหล่งความรู้ด้านการออมการลงทุน

 

พร้อมทั้งสร้างประโยชน์แก่ประเทศในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ประชาชนที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมีการออมสำหรับวัยเกษียณ จนถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ Start-ups และธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs)

 

อย่างไรก็ตาม ต้นทุนการทำธุรกิจในตลาดทุนบางประเภท เช่น ต้นทุนการซื้อขายหุ้นในตลาดรอง (ที่มีต้นทุนปัจจุบันสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน ซึ่งคำนวณโดยไม่ได้รวมภาษีขายหุ้นที่อาจนำมาใช้) หรือกองทุนรวม ยังมีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน ทำให้ตลาดทุนไทยต้องปรับตัวเพื่อให้แข่งขันได้ด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

เปิด ‘10 แนวทาง’ พัฒนาตลาดทุนไทยรับมือความท้าทายในอนาคต

นอกจากนี้ รายงานยังจัดทำ 10 ข้อเสนอเชิงนโยบายเพิ่มเติมเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยให้ยั่งยืนในอนาคต ดังนี้

 

  1. ส่งเสริมการจัดหาเงินทุนที่ยั่งยืนเพื่อช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions): โดยการผลักดันนวัตกรรมการเงินสีเขียว (Green Finance) ในตลาดทุนไทย

 

  1. พัฒนากองทุนบำเหน็จบำนาญเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ: โดยการสนับสนุนการพัฒนาของกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ

 

  1. ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs / Start-ups): ผ่านการสนับสนุนด้านเงินทุน การให้คำปรึกษา การสร้างแพลตฟอร์ม และการทำข้อตกลงในการระดมทุน

 

  1. ขยายสินทรัพย์ดิจิทัล: ควรสำรวจการใช้งานที่หลากหลาย และสร้างความมั่นใจในการบริหารความเสี่ยง

 

  1. ปรับปรุงความรู้ทางการเงิน: ผ่านความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โครงการลงทุนรูปแบบใหม่ และการส่งเสริมการรับรู้เรื่องการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย

 

  1. ส่งเสริมการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อย: ลดความซับซ้อนของการเข้าสู่การลงทุน นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ลงทุนรายย่อยในตลาดทุนไทย

 

  1. ดึงดูดเงินลงทุนระยะยาวจากผู้ลงทุนสถาบันต่างประเทศ: สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างมากขึ้นให้ทัดเทียมกับประเทศผู้นำระดับภูมิภาค และมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับภาคเศรษฐกิจใหม่

 

  1. พัฒนาผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ: สร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ลงทุนสถาบันในประเทศโดยการกระจายการลงทุนไปสู่ทรัพย์สินที่มีความหลากหลายมากขึ้น

 

  1. ปลดล็อกการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics): โดยการลงทุนในการสร้างมาตรฐานข้อมูล และการรวบรวบแหล่งข้อมูลเพื่อการลงทุน

 

  1. ดึงดูดและบ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถ (Talent): โดยการดึงดูดบุคลากรที่มีทักษะตามความต้องการเข้าสู่ตลาดทุนไทย และการยกระดับบุคลากรในตลาดทุนไทยปัจจุบันให้มีทักษะตามที่คาดหวัง

 

การพัฒนาตลาดทุนไทยตามแนวทางดังกล่าว พร้อมกับการรักษาระดับความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน นับเป็นข้อเสนอแนะจากการศึกษา เพื่อให้ตลาดทุนไทยสามารถต่อยอดจากความสำเร็จในอดีต และสร้างตลาดทุนไทยที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ซึ่งการที่จะทำให้เกิดตลาดทุนแห่งอนาคตของประเทศไทยได้จริง จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือจากภาครัฐและภาคเอกชนทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X