การลาออกจากงานมักจะทำให้ผู้คนเป็นกังวล ทั้งการหางาน การเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของการว่างงาน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สถานะการเงินในช่วงตกงาน เพราะหากเงินทองไม่พอใช้ปัญหาทุกอย่างจะร้ายแรงขึ้นอีกหลายเท่าตัว
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลาออกควรวางแผนการเงินอย่างรอบคอบเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่น การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินและความกังวลในอนาคตได้ และนี่คือ 8 สิ่งที่ควรทำก่อนยื่นใบลาออก
1. มีเงินสำรองฉุกเฉิน
เงินสำรองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด การมีเงินเก็บสำรองอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็นจะช่วยให้เรามีเวลาหายใจและมองหางานใหม่โดยไม่กดดันตัวเองมากเกินไป
ลองคำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนของเราอย่างละเอียด ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่าอาหาร รวมถึงหนี้สิน แล้วนำมาคูณด้วยจำนวนเดือนที่คาดว่าจะเป็นช่วงเวลาว่างงาน เพื่อให้รู้ว่าเราต้องมีเงินสำรองเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ เช่น ถ้าเรามีค่าใช้จ่ายทั้งหมดต่อเดือนอยู่ที่ 15,000 บาท ก่อนลาออกเราก็ควรมีเงินก้อนสำรองไว้ 15,000×6 = 90,000 บาท
2. ทำบัตรเครดิต/สินเชื่อ ให้เรียบร้อย
สถาบันการเงินจะพิจารณาประวัติการทำงานและความมั่นคงทางการเงินของลูกหนี้เป็นอันดับแรกก่อนอนุมัติสินเชื่อหรือบัตรเครดิต หากเรามีแผนจะขอสินเชื่อต่างๆ เช่น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ หรือแม้กระทั่งบัตรเครดิต ควรดำเนินการให้แล้วเสร็จในขณะที่ยังมีตำแหน่งงานที่มั่นคงอยู่ เพราะการไม่มีงานประจำอาจทำให้การอนุมัติเป็นไปได้ยากขึ้นมาก วงเงินของบัตรเครดิตก็อาจได้น้อยลง และอัตราดอกเบี้ยก็อาจจะแพงขึ้น
3. ใช้สิทธิประโยชน์จากบริษัท
อย่ามองข้ามสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่พึงมีในฐานะพนักงาน ลองตรวจสอบนโยบายของบริษัทว่ามีวันลาพักร้อนสะสมเหลืออยู่หรือไม่ หากมี ควรใช้ให้หมดก่อนลาออก เนื่องจากบางบริษัทอาจไม่มีนโยบายจ่ายเงินชดเชยวันลาที่เหลือให้
นอกจากนี้ ลองตรวจสอบสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น คูปองส่วนลดสำหรับพนักงาน หรือส่วนลดสำหรับซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ซึ่งเราสามารถใช้สิทธิ์เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ได้
4. สะสางหนี้สินที่ค้างอยู่
การลาออกในขณะที่มีหนี้สินจำนวนมากเป็นเรื่องที่น่ากังวล ควรพยายามชำระหนี้สินที่มีอยู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนลาออก เพื่อช่วยลดภาระและความเสี่ยงทางการเงินในอนาคต หากทำได้ ลองเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอชำระหนี้เป็นเงินก้อนใหญ่เพื่อลดภาระดอกเบี้ย สิ่งนี้จะช่วยให้เรามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้นเมื่อไม่มีรายได้ประจำแล้ว
และอย่าลืมเตรียมแผนการเงินไว้สำหรับผ่อนชำระหนี้แต่ละงวดในช่วงที่ตกงานด้วย เพราะแม้เราจะหยุดทำงาน แต่ดอกเบี้ยวิ่งอยู่ตลอดเวลา หากมีเงินไม่เพียงพอชำระก็อาจเผชิญกับหนี้ที่มากขึ้นเพราะการผิดชำระ หรือจำใจต้องขายสินทรัพย์บางอย่างไป
5. วางแผนเรื่องประกันสุขภาพ
เมื่อพ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน เราจะหมดสิทธิ์การคุ้มครองจากประกันกลุ่มของบริษัทโดยอัตโนมัติ ดังนั้น จึงควรวางแผนเรื่องประกันสุขภาพส่วนตัวไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างในการรักษาพยาบาล หากเรามีประวัติการรักษาหรือโรคร้ายแรงที่อาจต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ลองพิจารณาทำประกันสุขภาพส่วนตัวที่ครอบคลุมความเสี่ยงเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะลาออก
หรือถ้าต้องการความคุ้มครองจากประกันสังคมต่อ พนักงานประจำที่เคยอยู่ในมาตรา 33 เมื่อลาออกจากงานประจำแล้วสามารถพิจารณาจ่ายเบี้ยประกันต่อเอง ในมาตรา 39 หรือ 40 ตามความเหมาะสมของตัวเองได้
มาตรา 39
- สำหรับ: คนที่เคยทำงานในบริษัท (มาตรา 33) มาแล้ว 12 เดือน และต้องการสิทธิประโยชน์คล้ายเดิม เช่น รักษาพยาบาลและเงินบำนาญ
- ข้อดี: สิทธิประโยชน์ครบถ้วนกว่ามาตรา 40 คุ้มครองทั้งเจ็บป่วย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร และชราภาพ
- ค่าใช้จ่าย: จ่ายเดือนละ 432 บาท
มาตรา 40
- สำหรับ: อาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัท
- ข้อดี: ยืดหยุ่นกว่า เลือกได้ 3 ทางเลือกตามความคุ้มครองที่ต้องการ จ่ายเบี้ยน้อยกว่า
- ค่าใช้จ่าย: เริ่มต้นที่ 70, 100 หรือ 300 บาทต่อเดือน
6. ตรวจสอบแผนเกษียณ
การลาออกจากงานอาจส่งผลกระทบต่อแผนเกษียณ โดยเฉพาะเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ควรศึกษาข้อมูลให้ดีว่า เรามีสิทธิ์ได้รับเงินส่วนนี้เมื่อไหร่และอย่างไร โดยจะมีทางเลือก 3 ทาง คือ
- คงเงินไว้ในกองทุน: เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าจะหางานใหม่ในบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพใกล้เคียงกัน จะได้ย้ายกองทุนได้สะดวก
- โอนเงินไป RMF: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อการเกษียณและลดหย่อนภาษี
- ถอนเงินออกมา: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการนำเงินมาใช้จ่าย แต่การถอนเงินจะต้องเสียภาษี และอาจกระทบต่อแผนเกษียณในระยะยาว
รวมถึงแผนเกษียณอื่น ๆ ด้วย เช่น ถ้าใครมีการลงทุนในกองทุน RMF หรือ ประกันออมทรัพย์ ที่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยทุกปี ควรเตรียมเงินส่วนนี้ให้พร้อม เพื่อไม่ให้การชำระชะงักลงในช่วงที่ตกงาน แล้วกระทบกับแผนการลงทุนในระยะยาว
7. เตรียมรายได้เสริม
หากมีงานอดิเรกหรืองานเสริมที่สามารถสร้างรายได้ได้ ควรลองทำอย่างจริงจังก่อนลาออก เพื่อให้แน่ใจว่ามันสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงในอนาคตได้ การมีรายได้หลายทางจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความอุ่นใจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
ซึ่งถ้าเป็นไปได้ การหางานต่อไปไว้เรียบร้อยก่อนออกจากงาน ก็มักจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและง่ายกว่า สามารถลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายไปได้
8. เช็กสิทธิประโยชน์หลังลาออก
ก่อนลาออก ควรสอบถามฝ่ายทรัพยากรบุคคลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่เราจะได้รับหลังพ้นสภาพจากการเป็นพนักงานอย่างละเอียด เช่น เงินชดเชยการว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานหากเราทำงานครบตามเงื่อนไข การทราบข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาสิทธิที่พึงได้รับไว้อย่างครบถ้วน
ซึ่งผู้ประกันตนในประกันสังคม มาตรา 33 สามารถขึ้นทะเบียนว่างงานกับกรมการจัดหางานภายใน 30 วัน นับจากวันที่ว่างงาน โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือระหว่างการว่างงานไม่เกิน 90 วันต่อปี ในอัตรา 30% ของเงินเดือนเฉลี่ย เช่น ผู้ประกันตนได้รับเงินเดือนเฉลี่ย 15,000 บาท/เดือน ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือ 4,500 บาทต่อเดือน และจะขยายเวลาไปอีก 6 เดือน ใน 4 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และเสียชีวิต
การเตรียมตัวที่ดีจะทำให้การลาออกจากงานไม่ใช่เรื่องน่ากังวล การใช้เวลาพิจารณาและวางแผนอย่างรอบด้านจะช่วยให้เรามีความพร้อมสำหรับบทบาทใหม่ในชีวิตการทำงานได้อย่างมั่นคงและมั่นใจมากขึ้น
ภาพ: Denis Novikov/Getty Images
อ้างอิง: