×

วางแผนเกษียณไว มีเงินพร้อม ไม่ต้องรอถึงอายุ 60

26.08.2025
  • LOADING...
วางแผนเกษียณ

เดี๋ยวนี้การตั้งเป้าหมายว่าจะทำงานลากยาวถึงอายุ 60 ปี ดูจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยสำหรับยุคปัจจุบันเสียแล้ว ปัจจัยก็มาจากทั้งคนรุ่นใหม่เองที่มีความฝันอยากใช้ชีวิตแบบอิสระมากขึ้น และปัจจัยเศรษฐกิจที่ผันผวนทำคนรุ่นเยาว์เสี่ยงตกงานก่อนแก่กันได้มากขึ้น

 

แต่การจะหยุดทำงานไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องที่นึกอยากทำก็ทำได้ เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ คนเราก็ยังมีค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง นั่นจึงเป็นเหตุให้แนวทางการเงินแบบ FIRE (Financial Independence, Retire Early) เป็นที่น่าดึงดูดใจให้ลองทำตาม สำหรับใครที่อยากเตรียมพร้อมให้เกษียณได้ไวขึ้น 

 

การเงินแบบ FIRE คืออะไร 

 

FIRE หรือ Financial Independence, Retire Early เป็นแนวคิดและไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นการสร้างอิสรภาพทางการเงินเพื่อเกษียณได้ก่อนกำหนด (Retire Early) โดยไม่จำเป็นต้องรอจนถึงอายุ 60-65 ปี โดยมีแนวทางการออมเงินอย่างเข้มข้น (50-70% ของรายได้) และลงทุนให้เติบโต เพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณโดยไม่ต้องพึ่งพารายได้จากงานประจำ

 

หลักการสำคัญของ FIRE

 

  • มีอิสรภาพทางการเงิน (Financial Independence): หมายถึงการมีเงินเก็บและเงินลงทุนมากพอที่จะสร้างกระแสรายได้แบบ Passive Income (รายได้ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องทำงาน) ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันทั้งหมด ทำให้เราไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป
  • เกษียณอายุเร็วกว่าปกติ (Retire Early): เมื่อมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว เราสามารถเลือกที่จะเลิกทำงานประจำ หรือเลือกทำงานที่รักได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้

 

วิธีการของ FIRE

 

ตามหลักของแนวคิดนี้ เราจะเกษียณได้เมื่อไหร่ ไม่ขึ้นอยู่กับที่อายุแต่ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่เรามี โดยมีหลักการคำนวณ 2 ข้อหลัก คือ

 

  1. กฎ 25 เท่า (The 25x Rule)
  • คำนวณจำนวนเงินที่ต้องมีเพื่อเกษียณ โดยการนำค่าใช้จ่ายต่อปีที่คาดว่าจะใช้ไป คูณด้วย 25
  • ตัวอย่าง: หากเราคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณปีละ 300,000 บาท เราจะต้องมีเงินเก็บและเงินลงทุนอย่างน้อย 300,000 x 25 = 7,500,000 บาท

 

  1. กฎ 4% (The 4% Rule)
  • เมื่อถึงเป้าหมายเงินเก็บแล้ว เมื่อเราจะถอนเงินจากพอร์ตการลงทุนออกมาเพื่อใช้จ่ายในแต่ละปี ต้องไม่เกิน 4%
  • โดย 4% นี้มาจากสมมติฐานที่ว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนจะสูงกว่า 4% ต่อปี ทำให้เงินต้นยังคงอยู่และสามารถเติบโตต่อไปได้

 

FYI: ทำไมต้อง 25 เท่า?

 

กฎ 25 เท่า เป็นการคำนวณแบบผกผันของกฎ 4% ต้องการถอนเงิน 4% ของพอร์ตในแต่ละปี ก็เท่ากับว่าเงินที่ต้องมีคือ 100% ÷ 4% = 25 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปีนั่นเอง 

 

เช่น 300,000 บาท (ค่าใช้จ่ายต่อปี) x 25 = 7,500,000 บาท เมื่อมีเงินครบ 7.5 ล้านบาท เราสามารถถอนออกมาใช้จ่ายได้ปีละ 300,000 บาท (ซึ่งเท่ากับ 4% ของพอร์ต) โดยที่เงินในพอร์ตยังมีโอกาสเติบโตจากการลงทุนต่อไป

 

กลยุทธ์หลักในการบรรลุเป้าหมาย FIRE

 

  1. ประหยัดและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด

ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเพื่อเพิ่มสัดส่วนเงินออมให้ได้มากที่สุด บางคนอาจจะประหยัดได้ถึง 50-70% ของรายได้

 

  1. สร้างรายได้ให้มากขึ้น

นอกจากการประหยัดแล้ว การหารายได้เสริม (Side Hustle) หรือพัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มรายได้ในอาชีพหลัก ก็เป็นสิ่งสำคัญ

 

  1. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอและชาญฉลาด

นำเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายและเงินออมไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund), หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์

 

ประเภทของ FIRE

 

การเกษียณอายุแบบ FIRE มีอยู่หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ที่แต่ละคนคาดหวังหลังเกษียณ

 

  • Lean FIRE: เน้นการใช้ชีวิตแบบสมถะที่สุดหลังเกษียณ เพื่อให้ใช้เงินต่อปีน้อย ทำให้จำนวนเงินที่ต้องเก็บเพื่อเกษียณน้อยลงตามไปด้วย
  • Fat FIRE: เน้นการเก็บเงินจำนวนมากเพื่อเกษียณในแบบที่ยังคงสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหราได้ โดยทั่วไปแล้ว ต้องเป็นคนที่มีเงินเดือนสูง และมีกลยุทธ์การออมและการลงทุนที่เข้มข้นจึงจะได้ผล
  • Coast FIRE: เน้นการออมเงินก้อนใหญ่ตั้งแต่ช่วงแรก จากนั้นปล่อยให้เงินก้อนนี้เติบโตด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) โดยไม่จำเป็นต้องออมเพิ่มอีก แต่ยังคงทำงานเพื่อเลี้ยงชีพจนกว่าจะถึงวัยเกษียณ

 

ข้อควรระวัง

 

กฎนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นที่อิงจากข้อมูลในอดีต ซึ่งไม่ได้การันตีว่าจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์เสมอไป ดังนั้นควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น

 

  • อัตราเงินเฟ้อ: เงิน 300,000 บาทในวันนี้อาจมีมูลค่าไม่เท่ากับในอนาคต ดังนั้นควรเผื่ออัตราเงินเฟ้อไว้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายด้วย
  • สภาวะตลาด: ในช่วงที่ตลาดตกต่ำ ผลตอบแทนอาจไม่เป็นไปตามที่คาด ทำให้เราอาจต้องปรับลดอัตราการถอนเงินลง
  • การใช้ชีวิตหลังเกษียณ: หากวางแผนจะใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและลดค่าใช้จ่ายลง ก็อาจใช้ตัวเลข 25 น้อยกว่านั้นได้ หรือหากต้องการใช้ชีวิตที่หรูหราขึ้น ก็อาจต้องใช้ตัวเลขที่มากกว่านั้น

 

ตัวอย่างการวางแผนแบบ FIRE

 

สำหรับเด็กจบใหม่ที่อายุ 25 ปี และต้องการเกษียณตอนอายุ 45 ปี (เท่ากับมีเวลาทำงานและออมเงิน 20 ปี) โดยตั้งเป้าจะมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณปีละ 300,000 บาท

 

  1. เป้าหมายเงินเกษียณ (FIRE Number)

 

ตามหลัก “กฎ 25 เท่า” ต้องมีเงินเก็บและเงินลงทุนทั้งหมดเท่ากับ 25 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อปี

 

เงินเกษียณที่ต้องมี: 300,000 บาท/ปี x 25 = 7,500,000 บาท

 

นี่คือจำนวนเงินที่เราจะต้องมีตอนอายุ 45 ปี เพื่อให้สามารถถอนเงินมาใช้จ่ายได้ปีละ 300,000 บาท โดยเงินต้นยังคงเติบโตจากการลงทุน (แต่ถ้าอายุ 45 ปีแล้ว แต่เงินสะสมยังไม่ถึง ก็ต้องเลื่อนการเกษียณออกไป)

 

  1. แผนการออมและการลงทุน

 

เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 7.5 ล้านบาทในระยะเวลา 20 ปี เราต้องออมและลงทุนอย่างสม่ำเสมอ โดยตัวเลขจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน

 

สมมติให้ว่าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี (ทบต้น) เราจะต้องออมและลงทุนดังนี้

 

  • เงินที่ต้องออมต่อเดือน: ประมาณ 15,000 – 16,000 บาท
  • เงินที่ต้องออมต่อปี: ประมาณ 180,000 – 192,000 บาท

 

คำนวณ: ด้วยการลงทุนเดือนละ 15,500 บาท และได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ต่อปี เป็นเวลา 20 ปี เงินในพอร์ตของเราจะเติบโตจนมีมูลค่าใกล้เคียง 7.5 ล้านบาท (จากการออมเงินต้นประมาณ 3.72 ล้านบาท และผลตอบแทนจากการลงทุนอีกประมาณ 3.78 ล้านบาท)

 

  1. หลังเกษียณ

 

  • ใช้ชีวิตตาม “กฎ 4%” อย่างเคร่งครัด: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ต้องถอนเงินจากพอร์ตการลงทุนออกมาใช้จ่ายในแต่ละปีไม่เกิน 4% ของมูลค่าพอร์ตทั้งหมด เพื่อให้เงินต้นยังคงอยู่และเติบโตต่อไปในระยะยาว การไม่ใช้จ่ายเกินตัวเป็นสิ่งสำคัญมากในช่วงแรกของการเกษียณ เพราะหากตลาดหุ้นผันผวน เงินของเราจะเสี่ยงต่อการลดลงอย่างรวดเร็ว
  • บริหารพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง: แม้จะเกษียณแล้ว แต่เงินของเรายังคงต้องทำงาน เงินที่เหลือจาก 4% ที่ถอนออกมาจะต้องนำไปลงทุนต่ออย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำลงเล็กน้อยเพื่อความมั่นคง แต่ยังคงต้องทำให้เงินเติบโตเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ

 

การเงินแบบ FIRE สามารถทำได้จริงถ้ามีความมุ่งมั่นและวินัยทางการเงินสูง โดยหัวใจสำคัญคือการออมและลงทุนอย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่แค่การประหยัดอย่างเดียว เป้าหมายคือมีเงินเก็บและเงินลงทุนมากพอที่จะสร้างรายได้แบบ Passive Income ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในชีวิต ใครที่อยากลองทำตาม ควรเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน จากนั้นควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหลือน้อยที่สุด และที่สำคัญที่สุดคือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี เช่น หุ้นหรือกองทุนรวม เพื่อให้เงินทำงานแทนเรา และไปถึงเป้าหมายการเกษียณก่อนกำหนดได้ในที่สุด

 

ภาพ: 12963734 s/ Getty Images

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising