×

ยกฟ้องคดีชายชุดดำภาค 2 ชี้พยานโจทก์เบิกความขัดกันไม่น่าเชื่อถือ ทนายเล็งยื่น อสส. ให้ถอนฟ้อง หลังถูกฟ้องซ้ำหลายรอบ

โดย THE STANDARD TEAM
07.11.2022
  • LOADING...

วันนี้ (7 พฤศจิกายน) ที่ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีชายชุดดำภาค 2 ในคดีหมายเลขดำที่ อ.212/2564 ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง อ้วน-กิตติศักด์ สุ่มศรี และ ไก่เตี้ย-ปรีชา อยู่เย็น ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน, พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อาวุธสงครามฯ

 

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงไปที่ถนนข้าวสาร แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร หลายนัดหลายลูก ใส่เจ้าพนักงานทหารและเจ้าหน้าที่อื่นซึ่งตั้งแนวโล่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันเหตุร้ายโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ พ.อ. ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ได้รับอันตรายทุพพลภาพ ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 24 นายได้รับบาดเจ็บ

 

โดยวันนี้เบิกตัวจำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 2 เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ

 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บถูกยิง เห็นจำเลยครั้งแรกในทีวีตามที่ปรากฏเป็นข่าว ก็เบิกความว่าไม่รู้ว่ากระสุนมาจากทิศทางใด และไม่รู้จักจำเลยมาก่อน

 

ส่วนพยานปากอื่นเบิกความข้อเท็จจริงคล้ายกับพยานโจทก์ข้างต้นว่า ไม่มีผู้ใดพบว่าจำเลยทั้งสองยิงใส่เจ้าหน้าที่ แม้จะมีพยานบางปากอ้างว่าเห็นจำเลยขับรถตู้ฝ่าวงเข้ามาพร้อมตะโกนด่าพยาน และมีการเผยให้เห็นอาวุธสงครามที่อยู่พื้นรถตู้ แต่พยานปากดังกล่าวเคยไปเบิกความในคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ซี่งเป็นข้อเท็จจริงเดียวกัน พยานกลับเคยเบิกความว่าจำไม่ได้ 

 

คำเบิกความจึงขัดกันกับที่เบิกความในศาลนี้ และไม่มีเหตุผลว่าจำเลยจะขนอาวุธเข้ามาและเปิดเผยใบหน้ากับเจ้าหน้าที่ พยานปากนี้มีน้ำหนักน้อย ขัดกับเหตุผล 

 

จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันดังกล่าวเกิดเหตุหลายเหตุการณ์ มีเสียงกระสุนปืนหลายนัด แต่ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดเหตุการณ์ใดบ้าง การที่พยานเบิกความว่าจำเลยเคยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ก็มีน้ำหนักน้อย และได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะโดนซ้อมทรมาน พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

 

ด้าน วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ กล่าวว่า ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือ และไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองไปยิงทหารในวันดังกล่าว เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายจุด และมีเสียงยิงปืนดังต่อเนื่องหลายจุด ซึ่งพยานบุคคลของโจทก์เบิกความขัดกับพยานในคดีอื่น คำเบิกความพยานโจทก์นั้นจึงไม่น่าเชื่อถือ และ ธำรงค์ หลักแดน ซึ่งเป็นทนายความที่ได้คดีนี้ ก็ได้นำพยานหลักฐานเข้าสู้หักล้าง ทำให้ศาลเห็นว่าคดีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้จำเลยและลูกสาวได้รับความเดือดร้อน 

 

วิญญัติกล่าวต่อว่า จำเลยควรได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลยกฟ้องโดยที่ไม่ได้ยกเหตุผลว่าเป็นการยกโดยประโยชน์แห่งความสงสัย แต่ศาลยกฟ้องเพราะฟังพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้เลย จึงควรจะปล่อยตัว แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังคงถูกขังคดีอื่น ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับจำเลยมา 4-5 คดี และคดีใหม่นี้จะสอบคำให้การวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ 

 

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนยุติธรรมบ้านเราถูกข้ามขั้นตอนและไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างแท้จริง ทำให้ครอบครัวจำเลยเดือดร้อน 

 

วิญญัติกล่าวว่า เรากำลังปรึกษากันในทีมว่าจะไปยื่นคำร้องขอความเป็นธรรม ขอให้อัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาถอนฟ้องคดี ซึ่งคดีนี้สำนักงานอัยการคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบสำนวน ตนอยากจะถามว่าใช้ดุลยพินิจอะไรในการสั่งฟ้อง พยานหลักฐานได้มีการกลั่นกรองดีแล้วหรือไม่ ถ้าทำโดยหละหลวมเราก็จะตั้งเรื่องในการยื่นฟ้องกลับต่อพนักงานอัยการ คดีนี้อัยการอาจถูกฟ้องได้ในอนาคต โดยหลังจากนี้เราจะยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวในนัดสอบคำให้การครั้งต่อไป

 

“ถ้าอัยการสูงสุดทำได้ เราอยากขอให้ท่านถอนฟ้อง หรือให้ความเป็นธรรมในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งแม้คดีจะฟ้องศาลแล้ว แต่อำนาจของท่านสามารถนำกระบวนการเหล่านี้มาพิจารณาใหม่ได้อีก แต่ตอนนี้เรายังไม่อาจก้าวล่วงว่าอัยการสูงสุดควรทำอย่างไร แต่ท่านใช้ดุลยพินิจของท่านได้ จำเลยที่ 1 ติดในเรือนจำตั้งแต่ปี 2557 แต่กลับถูกนำเหตุการณ์เดียวกันมาฟ้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า” วิญญัติกล่าว

 

ด้าน จุฑามาศ สุ่มศรี ลูกสาวของจำเลยที่ 1 กล่าวว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับพ่อ เพราะตนรอเวลานี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาพอตัดสินคดีก็มีคดีใหม่เข้ามา ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 คดีเป็นคดีใหม่ที่พ่อยังต้องถูกจองจำอยู่ 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 หรือคดีชายชุดดำ สำนวนแรก ซึ่งเป็นคดีที่ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง อ้วน-กิตติศักด์ สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, ไก่เตี้ย-ปรีชา อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นะ-รณฤทธิ์ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, เล็ก-ชำนาญ ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และ อร-ปุณิกา ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

จากกรณีเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จำเลยทั้งห้า กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ เช่น เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวันและเวลาเกิดเหตุเจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 กันยายน 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้งห้าส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินคดี

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising