×

5 เหตุผลที่ทีมชาติฝรั่งเศสจะคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 เหนือโครเอเชีย

15.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ทีมชาติฝรั่งเศสเป็น 1 ใน 8 ชาติยักษ์ตัวเต็งที่ยังมีลมหายใจหลุดเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ ลงเล่นในฟุตบอลโลกครั้งนี้ไป 6 นัดยังไม่แพ้ใครเลย ข้อได้เปรียบเหนือโครเอเชียที่ลงเล่นไป 360 นาทีใน 3 นัดคือการได้พักมากกว่า 1 วัน หลังลงเล่นไป 270 นาที ในจำนวนแมตช์ที่เท่ากัน
  • ความผิดหวังและประสบการณ์ความล้มเหลวในฟุตบอลยูโร 2016 ของทีมได้กลายเป็นบทเรียนสำคัญให้กับทัพเลส์ เบลอส์ชุดนี้ โดยผู้เล่นส่วนใหญ่มุ่งหวังจะสะสางปมในใจที่ค้างคาไว้ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วให้ได้
  • ถึงใครจะมองว่า คีเลียน เอ็มบัปเป้ คือดาวรุ่งที่ปราดเปรียว เป็นตัวอันตรายในเกมรุกของฝรั่งเศส แต่โครเอเชียก็จะประมาท เอ็นโกโล ก็องเต ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะมิดฟิลด์ผู้นี้ได้รับการยอมรับว่าช่วยให้ผู้เล่นทั้ง 10 คนในสนามเล่นกันได้ ‘ง่ายขึ้น’ แบบผิดหูผิดตา

ฟุตบอลโลกหนนี้แม้ฝรั่งเศสจะเครื่องร้อนช้า กว่าจะแผ่รัศมีทีมเข้าชิงได้ก็ผ่านไปแล้ว 4 นัดในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่เฉือนเอาชนะอาร์เจนตินา 4-3 แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็รักษามาตรฐานของตัวเองได้อย่างต่อเนื่องจนผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในที่สุด

 

ทัพตราไก่ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ปีนี้ไปทั้งหมด 6 นัด ชนะ 5 เสมอ 1 เป็น 1 ใน 2 ทีมที่ยังไม่แพ้ใครเลยร่วมกับโครเอเชีย ยิงได้รวม 10 ประตู เสียไป 4 ลูก ส่วนสถิติการพบกันก่อนหน้านี้ เลส์ เบลอส์ก็ยังเหนือกว่าทัพโครแอต เจอกัน 5 ครั้งชนะได้ 3 นัด เสมอ 2

 

หนึ่งในชัยชนะของฝรั่งเศสที่มีเหนือโครเอเชียเกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 1998 รอบรองชนะเลิศ ที่เอาชนะไปได้ 2-1 พร้อมกรุยทางสู่รอบชิงชนะเลิศไปพบบราซิลและคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกในฐานะชาติเจ้าภาพได้สำเร็จ

 

20 ปีผ่านไป ฟุตบอลโลกครั้งนี้ ฝรั่งเศสจะรักษาสถิติเดิมเบียดเอาชนะโครเอเชียพร้อมคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ของตัวเองได้หรือไม่ THE STANDARD ได้รวบรวม 5 เหตุผลที่เชื่อว่าฝรั่งเศสคู่ควรกับการเป็นยอดทีมในทัวร์นาเมนต์หนนี้มาไว้ให้แล้ว

 

1. ประสบการณ์ในเกมนัดชิงชนะเลิศ

หลังอกหักในบ้านตัวเองในฟุตบอลโลกยูโร 2016 จบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นแค่รองแชมป์แบบน่าเสียดาย ดิดิเยร์ เดสชองส์ ยังคงได้รับโอกาสทำทีมต่อ และใช้เวลาเพียง 2 ปีก็พาลูกทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการใหญ่ในระดับชาติได้สำเร็จอีกหน

 

ทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้มีตัวผู้เล่นหลงเหลือจากชุดรองแชมป์ยูโรเมื่อ 2 ปีที่แล้ว 9 คน ประกอบไปด้วย อูโก โยริส, สตีฟ ม็องด็องด้า, อาดิล รามี, ซามูเอล อุมติตี้, แบลส มาตุยดี, พอล ป็อกบา, เอ็นโกโล ก็องเต, อองตวน กรีซมันน์ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ทำให้พวกเขามีประสบการณ์การรับมือกับความกดดันในเกมนัดชิงชนะเลิศเป็นพิเศษ พร้อมยังเป็นการบอกใบ้ว่าทีมชุดนี้สุกงอมจนถึงช่วงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวเต็มทนแล้ว!

 

 

ไม่นานมานี้ ป็อกบาเพิ่งให้สัมภาษณ์ก่อนเกมกับสื่อมวลชนไว้ว่า “เราตระหนักถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี พวกเราไม่อยากจะสร้างความผิดพลาดซ้ำรอยเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราต้องการจะทำทุกๆ หนทางเพื่อพาถ้วยแชมป์โลกกลับคืนสู่ประเทศ

 

“ผมคิดว่าในฟุตบอลยูโร พวกเราคิดว่าอะไรๆ ก็เรียบร้อยไปแล้ว ความคิดของเราไม่เหมือนกับตอนนี้เลย ผมไม่อยากโกหกเลยว่าตอนที่เอาชนะเยอรมนี (รอบรองชนะเลิศ) พวกเราคิดกันว่านั่นแหละนัดชิงชนะเลิศ ผมรู้ซึ้งถึงรสชาติของการพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศดี ผมไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นซ้ำสองอีกครั้ง”

 

ฝั่งกรีซมันน์ก็กล่าวแบบติดตลกแกมหยอกตัวเองว่า ยูโร 2016 ที่ผ่านมา เขาจบทัวร์นาเมนต์ด้วยการเป็นดาวซัลโวที่ 6 ประตู และเป็นได้แค่รองแชมป์ ครั้งนี้เขาถึงพยายามยิงให้น้อยที่สุดเพื่อที่ฝรั่งเศสจะได้เข้าวินชูถ้วยแชมป์

 

ความผิดหวังต่อหน้าแฟนบอลในบ้านตัวเองและความกระหายของเหล่านักเตะหนุ่มทำให้ทัพเลส์ เบลอส์ชุดนี้ผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปีนี้ได้สำเร็จ พร้อมปมในใจที่ต้องแก้ด้วยการคว้าถ้วยรางวัลแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 กลับคืนสู่ประเทศให้จงได้

 

2. ข้อได้เปรียบด้านความสดและสภาพร่างกาย

ก่อนถึงรอบชิงชนะเลิศ ฝรั่งเศสลงเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นต้นมาและจบเกมภายใน 90 นาทีทั้ง 3 นัด รวมๆ แล้วพวกเขาเล่นไปทั้งหมดประมาณ 270 นาทีภายในระยะเวลา 10 วัน และได้พักก่อนลงเล่นเกมนัดชิงถึง 5 วันเต็ม

 

เมื่อเปรียบเทียบกับโครเอเชียที่ลงเล่น 120 นาทีเต็มมาตลอดทั้ง 3 นัดในรอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นต้นมา เท่ากับว่าในรอบ 10 วันพวกเขาต้องลงเล่นมากกว่าฝรั่งเศสถึง 90 นาทีเต็ม เปรียบเทียบง่ายๆ คือโครเอเชียลงเล่นมากกว่าพวกเขาไปประมาณ 1 แมตช์นั่นเอง แถมยังได้เวลาพักน้อยกว่าถึง 1 วัน

 

ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทัพตราไก่จะประมาทโครแอตได้ง่ายๆ เพราะ 3 นัดที่ผ่านมาของโครเอเชียก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาอึดถึกทนกว่าที่คิด และยังใจสู้จนวินาทีสุดท้ายของเกมจนเป็นฝ่ายแซงคว้าชัยเหนือคู่แข่งในที่สุด

 

 

3. ความไวสายฟ้าฟาดของเอ็มบัปเป้ และอิทธิพลในเกมรุกของคู่หูกรีซมันน์-ชิรูด์

ด้วยฟอร์มการเล่นที่เกินวัย ความเร็วระดับนรก ‘คีเลียน เอ็มบัปเป้’ ศูนย์หน้าดาวรุ่งวัย 19 ปี คือนักเตะทีนเอจที่โดดเด่นที่สุดในฟุตบอลโลกหนนี้ และน่าจะคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมมาครองโดยไร้คู่แข่งต่อกร

 

เอ็มบัปเป้ลงเล่นไปทั้งหมด 6 นัด ยิงได้ 3 ประตู นำเป็นดาวซัลโวสูงสุดของทีมร่วมกับกรีซมันน์ แตกต่างกันตรงที่ทั้ง 3 ลูกของดาวเตะวัย 19 ปีมาจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ล้วนๆ ส่วนกรีซมันน์เป็นการยิงจุดโทษ 2 ลูก

 

เขายังได้ชื่อว่าเป็นดาวรุ่งคนที่ 2 ต่อจากเปเล ที่สามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ 2 ลูกใน 1 แมตช์ ซึ่งเคยทำเอาไว้เมื่อ 60 ปีที่แล้วในฟุตบอลโลก 1958

 

กรีซมันน์และชิรูด์คือแกนหลักในเกมรุกของฝรั่งเศสที่รู้อกรู้ใจและลงเล่นร่วมกันมาตั้งแต่ฟุตบอลยูโร 2016 ทั้งคู่รู้ว่าจังหวะไหนต้องเล่นอย่างไร อีกคนถึงจะรีดประสิทธิภาพของตัวเองและสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้ดีที่สุด

 

นี่คือ 3 ตัวอันตรายในเกมรุกที่โครเอเชียจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด

 

4. เดิมพันแชมป์สมัยที่ 2 ของประเทศ

นี่คือการเข้าชิงฟุตบอลโลกหนที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศส ครั้งแรกพวกเขาคว้าแชมป์ได้สำเร็จในปี 1998 ต่อมาในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมนี เลส์ เบลอส์ที่นำโดยจอมทัพแห่งยุค ซีเนดีน ซีดาน กลับต้องพ่ายให้กับอิตาลีในช่วงดวลจุดโทษที่ 3-5 แบบน่าเสียดาย

 

โจทย์ในปีนี้ของฝรั่งเศสก็ไม่มีอะไรมาก พวกเขาต้องแบกความหวังทั้งประเทศเพื่อเดินหน้าคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 2 มาครองให้ได้ หลังห่างหายจากถ้วยสีทองที่ได้ชื่อว่าเป็นโทรฟีอันดับ 1 ของโลกฟุตบอลมานานกว่า 20 ปีเต็ม

 

ด้วยแรงสนับสนุนจากโค้ชที่อยู่ในทีมชุดแชมป์ 1998 เดสชองส์น่าจะรู้กลวิธีในการปลุกใจลูกทีมให้รู้สึกฮึกเหิมและพร้อมจะสู้แบบถวายชีวิตเพื่อนำเหรียญทองมาคล้องคอให้ได้แน่นอน

 

 

5. เอ็นโกโล ก็องเต ต้นแบบนักเตะที่ทำให้เพื่อนร่วมทีมเบาแรงและเล่นกันง่าย

กองกลางตัวรับจากเชลซีได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ปิดทองหลังพระตัวจริงเสียงจริง พร้อมทั้งได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของกองกลางตัวตัดเกมที่ดีที่สุดของโลกฟุตบอลยุคนี้ แถมยังเปลี่ยนจังหวะจากรับเป็นรุกได้ในชั่วพริบตา

 

แม้จะมีส่วนสูงแค่ 168 เซนติเมตร แต่ก็องเตไม่ยอมปล่อยให้ข้อจำกัดด้านสรีระร่างกายมาเป็นอุปสรรคในการเล่นฟุตบอลของเขา ฟุตบอลโลกครั้งนี้ลงเล่นทุกนัดทั้งหมด 540 นาทีเต็ม แย่งบอลจากเท้าคู่แข่งได้ 19 ครั้ง เป็นรองแค่ โรมัน ซอบนิน จากรัสเซียที่ทำได้ 20 ครั้ง

 

ป็อกบาเคยยอมรับว่าการเล่นคู่กับก็องเตทำให้ตัวเขาหรือแม้แต่เพื่อนร่วมทีมเล่นกันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม นี่อาจเป็นอีกหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้มิดฟิลด์จากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทำผลงานในนามทีมชาติได้ดีกว่าในสโมสรเป็นไหนๆ

 

สถิติที่น่าสนใจอีกอย่างระหว่างการจับคู่ของป็อกบาและก็องเตคือ ทั้งคู่ลงเล่นร่วมกัน 18 ครั้ง ทีมชาติฝรั่งเศสยังไม่เคยแพ้เลย โดยชนะได้ถึง 14 ครั้ง และเสมอ 4 ครั้ง

 

นอกจากเอ็มบัปเป้ ก็องเตนี่แหละคือคีย์แมนที่โครเอเชียต้องระวังเอาไว้ให้ดี และเราก็คงจะได้เห็นกองกลางวัย 27 ปีคนนี้ลงดวลฝีเท้ากับ ลูกา โมดริช ฟันเฟืองคนสำคัญของทีมชาติโครเอเชียชนิดที่ดุเด็ดเผ็ดมัน และห้ามละสายตาแน่นอน

Photo: Reuters, AFP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising