×

ระยะทางอันห่างใกล้ที่เบลเยียมยังไปไม่ถึงฝรั่งเศส

11.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • ด้วยระดับการเล่นของทั้งฝรั่งเศสและเบลเยียมที่เราได้เห็นตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งสองทีมต่างเล่นฟุตบอลในระดับสูง และดูมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าของแชมป์โลกในปีนี้
  • เป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นพรสวรรค์ในการเล่นที่น่าทึ่งของ คีเลียน เอ็มบัปเป้ เด็กมหัศจรรย์ที่แสดงให้เห็นว่า โลกฟุตบอลนั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา จะเอาไปเล่นเมื่อไรก็ได้ไม่ใช่ปัญหา
  • ไม่ว่าอาซาร์, เดอ บรอยน์, ลูกากู หรือแม้แต่ ดรีส์ เมอร์เทนส์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองเพื่อเปลี่ยนเกม จะพยายามสักเท่าไรก็ไม่เป็นผล
  • ครั้งนี้ฝรั่งเศสไม่เหมือนในวันนั้นที่ซีดานเป็นคนเดียวที่แบกรับทีมเอาไว้ และพามาจนถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่จะเหมือนกับทีม Les Bleus ในฟุตบอลโลก 1998 ที่พวกเขาได้แชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรก ที่องค์ประกอบทั้งหมดในทีมลงตัวทั้งด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ

ก่อนเกมฟุตบอลโลกรอบรองชนะเลิศจะลงสนาม มีคำถามที่ตอบยากชะมัด แต่เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้

 

ว่าใครจะได้เป็นทีมแรกที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกครั้งนี้? ฝรั่งเศสหรือเบลเยียม?

 

ด้วยระดับการเล่นของทั้งสองทีมที่เราได้เห็นตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา ยากจะปฏิเสธได้ว่า มีทีมใดที่เล่นได้ดีในมาตรฐานใกล้เคียงกันนี้อีก ทั้งสองทีมต่างเล่นฟุตบอลในระดับสูง และดูมีความพร้อมที่จะเป็นเจ้าของแชมป์โลกในปีนี้

 

ใจหนึ่งก็น่าเสียดายที่สองทีมที่ดีที่สุดต้องมาเจอกันในรอบนี้ ไม่ใช่รอบชิงชนะเลิศ แต่อีกใจก็ดีเหมือนกัน จะได้วัดกันให้รู้ไป

 

แค่จินตนาการว่า เราจะได้เห็นการต่อสู้กันระหว่าง อองตวน กรีซมันน์ กับ เอเดน อาซาร์, คีเลียน เอ็มบัปเป้ กับ โรเมลู ลูกากู และ พอล ป็อกบา กับ เควิน เดอ บรอยน์

 

หัวใจมันก็สั่นระรัวด้วยความตื่นเต้นแล้ว

 

อย่างไรก็ดี เมื่อถึงคราลงสนามจริง ดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดกับสิ่งที่จินตนาการอาจจะไม่ตรงกันเสียทีเดียว

 

จริงอยู่ที่เราได้เห็นการต่อสู้ที่เข้มข้นของทั้งสองทีม ซึ่งไม่ใช่แค่การต่อสู้กันในเรื่องของความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นในระดับท็อปคลาส แต่ยังมีเรื่องของเกมกลยุทธ์ที่ต้องถือว่า นี่เป็นอีกหนึ่งในเกมที่สู้และตัดสินกันด้วยแท็กติกอย่างแท้จริง

 

เพียงแต่สิ่งที่ไม่ตรงกับความคาดหวังคือ ฝรั่งเศสนั้นดีกว่าอย่างค่อนข้างชัด

 

Les Bleus อยู่ในระดับที่เหนือกว่า อาจจะไม่มาก แต่รู้ได้ว่าเหนือกว่า

 

นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังมีนักเตะที่เป็นความแตกต่างมากที่สุดระหว่างทั้งสองทีมอย่างเอ็มบัปเป้อยู่ในทีมด้วย

 

เกมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเป็นอีกครั้งที่เราได้เห็นพรสวรรค์ในการเล่นที่น่าทึ่งของเด็กมหัศจรรย์คนนี้ ที่แสดงให้เห็นว่า โลกฟุตบอลนั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา จะเอาไปเล่นเมื่อไรก็ได้ไม่ใช่ปัญหา

 

ในเกมเขาอาจจะทำประตูไม่ได้ แต่อิทธิพลต่อเกมของเอ็มบัปเป้นั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้ เพราะต่อให้หลับตา ประกายแสงของเขาก็ยังแยงทะลุนัยน์ตาเข้ามาได้อยู่ดี

 

ความเร็ว ทักษะ ลูกเล่นลีลา (ใช่ครับ เรากำลังพูดถึงลูกเกี่ยวบอลแล้วดีดส้นให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ได้หลุดเข้าไปยิง) ไปจนถึงความนิ่งที่เกินวัย

 

เอ็มบัปเป้ทำให้กองหลังที่จัดว่าดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก 3 คน อย่าง แว็งซ็องต์ กอมปานี, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และ แยน แฟร์ตองเกน เป็นเหมือนเด็กเล็กที่ไม่สามารถจะหาทางหยุดเขาได้

 

สำหรับคนลูกหนังกลางเก่ากลางใหม่อย่างผม นักฟุตบอลคนสุดท้ายที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้ได้คือ ‘อิล เฟโนเมโน’ โรนัลโด แห่งบราซิลผู้ยิ่งใหญ่

 

โรนัลโดคนนี้ไม่เหมือนกับ คริสเตียโน โรนัลโด เพราะถึงแม้ CR7 จะพัฒนาฝีเท้าขึ้นมา จนยืนในระดับสูงสุดได้เป็นระยะเวลาร่วมทศวรรษ แต่ในแง่ของพรสวรรค์การเล่นแล้ว ไม่สักนิดที่ซูเปอร์สตาร์ชาวโปรตุเกสจะเทียบกับไอคอนรุ่นพี่ได้

 

เช่นกัน โรนัลโดคนนี้ก็ไม่เหมือนกับ ลิโอเนล เมสซี เพราะถึงจะเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ แต่ทั้งคู่เล่นกันคนละรูปแบบอย่างสิ้นเชิง เมื่อคนหนึ่งคือนักเตะในแบบข้ามาคนเดียว ขณะที่อีกคนจะเล่นได้ดีที่สุดเมื่อมีขุนพลชั้นยอดคอยเคียงข้าง

 

แต่เอ็มบัปเป้ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนได้เห็นโรนัลโดกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง แม้ว่ายังมีเสี้ยวของความรู้สึกที่ผมคิดว่า สตาร์น้ำหอมคนนี้ยังเป็นรองอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็ทำให้เกิดคำถามได้แบบเดียวกันว่า ใครจะหยุดเอ็มบัปเป้ได้ แล้วจะหยุดเขาอย่างไร?

 

คำถามนี้ อลัน เชียเรอร์ ตำนานดาวยิงทีมชาติอังกฤษ ก็ถาม ริโอ เฟอร์ดินานด์ หนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในยุคสมัยของเขาในการวิเคราะห์หลังจบเกมทางสถานีโทรทัศน์ BBC โดยคำตอบของริโอเรียกเสียงหัวเราะได้ครืน

 

“ผมคงมองหาใครสักคน แล้วบอกว่าช่วยหน่อย”

 

เพียงแต่ฝรั่งเศสไม่ได้มีแค่เขา หากแต่ยังมีผู้เล่นอีก 10 คนที่ยอดเยี่ยม และทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีทุกคน ตั้งแต่ อูโก โยริส ที่ปัดป้องโอกาสทำประตูของเบลเยียม ได้หมด, เบนจามิน ปาวาร์ ที่ปิดพื้นที่ทำการของ เอเดน อาซาร์, เอ็นโกโล ก็องเต ผู้ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนทะลุผ่านแนวต้านที่ระยะ 30 หลาของฝรั่งเศสได้โดยง่าย, พอล ป็อกบา ที่บงการเกมกลางสนามอย่างเงียบๆ, อองตวน กรีซมันน์ ในวันที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าเอ็มบัปเป้ แต่การเล่นด้วยความเยือกเย็นของเขา

 

และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ หัวหอก 0 ประตู ที่ยังทำหน้าที่ในการเปิดพื้นที่และเวลาให้กรีซมันน์กับเอ็มบัปเป้ได้อย่างยอดเยี่ยม

 

โดยทั้งหมดเล่นตามกลยุทธ์ที่ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ วางเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลอกล่อให้เบลเยียมเปิดเกมบุกเข้าใส่ ซึ่งเหมือนจะได้ผลในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราก็ได้เห็นว่า หากฝรั่งเศสคิดจะเล่นตั้งรับ ต่อให้เป็นทีมที่ร้อนเป็นไฟพะเนียงอย่างเบลเยียมก็เจาะเข้าไปไม่ได้

 

ไม่ต่างอะไรกับพ่อมดเทาแกนดัล์ฟที่ประกาศก้องไม่ให้อสูรนรกบัลร็อกผ่านไปไล่สังหารเหล่าพันธมิตรแห่งแหวน

 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าเบลเยียมจะพยายามแค่ไหน ไม่ว่าอาซาร์, เดอ บรอยน์, ลูกากู หรือแม้แต่ ดรีส์ เมอร์เทนส์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรองเพื่อเปลี่ยนเกม จะพยายามสักเท่าไรก็ไม่เป็นผล

 

พวกเขาเก่งแล้ว แต่ฝรั่งเศสเก่งกว่า

 

พวกเขาแกร่งแล้ว แต่ฝรั่งเศสก็ยังแกร่งกว่า

 

พวกเขาสู้แล้ว เพียงแต่ฝรั่งเศสก็ยังสู้ได้ดีกว่า

 

ถึงจะพยายามกันตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา แต่ระยะห่างระหว่างเบลเยียมกับทีมระดับท็อปของโลกนั้นยังมีอยู่

 

เพียงแต่หากมองในแง่ดี อย่างน้อยพวกเขาก็เดินทางกันมาไกลมากแล้ว โดยเฉพาะหากมองย้อนกลับไปในจุดเริ่มต้นวันที่ มิเชล ซาบอน คิดจะปฏิวัติวงการฟุตบอลของชาติ

 

เมื่อความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร จึงได้แต่หวังว่า เบลเยียมจะไม่ท้อจากความผิดหวังครั้งนี้ และสู้ต่อในฟุตบอลโลกครั้งหน้า ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น นอกจากแกนหลักของทีมในวันนี้จะเติบโตขึ้นไปอีกขั้นแล้ว อาจจะมีสายเลือดใหม่เข้ามาสร้างความแตกต่างได้ เหมือนที่ฝรั่งเศสมีเอ็มบัปเป้ที่ทำให้ทีมแตกต่างจากชุดยูโร 2016

 

สำหรับฝรั่งเศส พวกเขาผ่านคู่แข่งที่แกร่งที่สุดได้สำเร็จ ได้กลับมาเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นครั้งที่ 3 และเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี หลังพ่ายแพ้อิตาลีในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี

 

ในเกมนัดสุดท้ายที่แสนเศร้าของจอมทัพตลอดกาลอย่าง ซีเนดีน ซีดาน

 

ครั้งนี้ฝรั่งเศสไม่เหมือนในวันนั้นที่ซีดานเป็นคนเดียวที่แบกรับทีมเอาไว้ และพามาจนถึงรอบชิงชนะเลิศ แต่จะเหมือนกับทีม Les Bleus ในฟุตบอลโลก 1998 ที่พวกเขาได้แชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรก ที่องค์ประกอบทั้งหมดในทีมลงตัวทั้งด้วยคุณวุฒิและวัยวุฒิ

 

ไม่ว่าจะต้องเจอกับโครเอเชียหรืออังกฤษก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล

 

ขอแค่ไม่ประมาท พวกเขาไม่น่าพลาดแชมป์

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising