ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เปิดเผยรายงานเสถียรภาพทางการเงิน หรือ Financial Stability Report ที่จัดทำทุกครึ่งปี ซึ่งพบว่าภาคการเงินของสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับเสถียรภาพ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ในตลาดทั้งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นราคาที่ ‘มากเกิน’ กว่ามูลค่าจริงในตลาด
โดย Fed ระบุว่า ขณะที่ภาพรวมของระบบการเงินจะยังคงมีเสถียรภาพดีอยู่ ท่ามกลางวิกฤตการระบาดของโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย ทว่าสถานการณ์ตลาดในอนาคตกลับค่อนข้างอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ Fed มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
ทั้งนี้ที่ผ่านมา เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed และเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของ Fed มักจะคลายความวิตกเกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ในตลาดที่ปรับตัวเพิ่มสูงว่า ตราบใดที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ มูลค่าสินทรัพย์เหล่านี้ก็ยังสมเหตุสมผล เท่ากับตีความได้ว่า หากกรณีที่สหรัฐฯ ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมมีผลสั่นคลอนเสถียรภาพของระบบการเงินของสหรัฐฯ
รายงานของ Fed ระบุชัดว่า ราคาสินทรัพย์ที่สูงขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนของกระทรวงการคลังในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากสภาพการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไป ราคาสินทรัพย์ดังกล่าวย่อมสร้างความเสี่ยงต่อการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
เลล เบรนาร์ด ผู้ว่าการ Fed กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ Fed จำเป็นที่จะต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงเป็นสิ่งสำคัญที่ Fed จะต้องลงมือตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบการเงินของสหรัฐฯ มีการป้องกันที่เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องเตือนให้ภาคธนาคารเพิ่มสัดส่วนเงินทุนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัวเพื่อเป็นเกราะป้องกันภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
เบรนาร์ดระบุว่า ภาวะเสี่ยงสูงมักเกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงของนักลงทุน โดยการประเมินมูลค่าในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ยิ่งเมื่อบวกกับสถานการณ์ที่หลายบริษัทต้องแบกรับหนี้มหาศาล ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อการเงินที่รุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ความไม่มีเสถียรภาพในตลาดยังอาจกระทบต่อช่องโหว่ที่มีอยู่ในสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และก่อให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ โดยรายงานได้ยกตัวอย่างของกรณี Archegos Capital Management เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่ทำธนาคารใหญ่ๆ ชั้นนำระดับโลกหลายแห่งสูญเงินมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรณีข้างต้นแสดงให้เห็นความเสี่ยงที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคารจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อระบบการเงินของสหรัฐฯ และแสดงให้เห็นข้อจำกัดของรัฐบาลในการกำกับดูแลกองทุนเฮดจ์ฟันด์และสถาบันการเงินอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธนาคาร ดังนั้นการเปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดและบ่อยมากขึ้นจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: