สำนักข่าว AP รายงานว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเดินหน้าฟื้นกำหนดข้อบังคับในการสำรองเงินทุนชั่วคราวให้กับธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ หลังจากที่ขยายช่วงระยะเวลาผ่อนปรนข้อกำหนดดังกล่าวตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว เพราะต้องการให้ธนาคารรายใหญ่เหล่านี้เพิ่มการปล่อยกู้ให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ หวังกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และลดภาวะตึงตัวในตลาดพันธบัตร
Fed กล่าวชัดเจนว่าจะไม่ขยายระยะเวลาผ่อนปรนกฎเกณฑ์การสำรองเงินทุนต่อสินทรัพย์ (Supplementary Leverage Ratio) ที่นำมาใช้เพื่อช่วยให้ธนาคารมีความยืดหยุ่นในการจัดการสินทรัพย์ในช่วงภาวะวิกฤตที่ธนาคารจำต้องปล่อยกู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารต่างๆ พยายามเรียกร้องให้ Fed ขยายระยะเวลาผ่อนปรนดังกล่าวออกไปอีก แต่ Fed เห็นว่าสถานการณ์ตลาดการเงินในประเทศนับตั้งแต่ที่บังคับใช้มาตรการผ่อนปรนในปีที่แล้วและจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคมนี้เริ่มมีเสถียรภาพและความมั่นคงดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องขยายระยะเวลาผ่อนปรน
การตัดสินใจของ Fed ในครั้งนี้ส่งผลให้หุ้นธนาคารในตลาดวอลล์สตรีทปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงเช้าของการซื้อขาย โดยหุ้นของ JPMorgan Chase และ Wells Fargo ปรับตัวลดลง 3% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1.70% มาอยู่ที่ 1.74%
สำหรับสัดส่วนการสำรองเงินทุนต่อสินทรัพย์ (Supplementary Leverage Ratio) เป็นข้อกำหนดที่ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีสินทรัพย์รวมมากกว่า 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจะต้องสำรองเงินทุนอย่างน้อย 3% ของสินทรัพย์ทั้งหมดเพื่อรองรับการขาดทุน ซึ่งการผ่อนปรนจะช่วยลดผลกระทบจากข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ และจะทำให้ธนาคารต่างๆ สามารถช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจได้ดีขึ้น
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
