เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ) ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่กรอบ 4.00%-4.25% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ด้วยมติ 11-1 ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยในช่วง 9 เดือน พร้อมส่งสัญญาณว่าจะมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งอาจจะทำให้ดอกเบี้ยลดลงรวม 0.50% สู่กรอบ 3.75-4.00%
เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ระบุว่าสาเหตุสำคัญที่ Fed ตัดสินใจเริ่มลดดอกเบี้ยมาจากสัญญาณอ่อนแอที่เพิ่มขึ้นในตลาดแรงงาน โดยระบุว่า “ความต้องการแรงงานเริ่มลดลง และจำนวนการจ้างงานใหม่ล่าสุดต่ำกว่าระดับที่จำเป็นต่อการคงอัตราการว่างงานไว้”
ประธาน Fed พร้อมยอมรับว่าไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไปว่าตลาดแรงงานยัง ‘แข็งแกร่งมาก’ การลดดอกเบี้ยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า Fed กำลังเปลี่ยนความกังวลไปสู่การจ้างงานและการเติบโตที่อ่อนแอลง มากกว่าความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่เคยเป็นประเด็นหลักก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ได้มีการประชุม Jackson Hole Economic Symposium ที่รัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกา ซึ่งพาวเวลล์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่หลายฝ่ายมองว่า ‘ชัดเจนที่สุด’ ในการส่งสัญญาณว่า Fed จะลดดอกเบี้ยในการประชุมที่เพิ่งเกิดขึ้นไป
ประเด็นสำคัญจากเวที Jackson Hole คือการที่ Fed หันกลับมาใช้ Flexible Inflation Targeting หรือการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น แทนที่ Average Inflation Targeting ที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนกรอบนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Fed ที่ต้องการ ‘เครื่องมือที่คล่องตัวกว่า’ เพื่อตอบสนองต่อเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนมากขึ้น
ความผันผวนนี้มาจากหลายปัจจัย ตั้งแต่แรงกดดันเงินเฟ้อจากมาตรการภาษีศุลกากร ไปจนถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว Fed จึงต้องปรับตัวให้สามารถตอบสนองได้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าในอดีต
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ไม่เพียงสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงิน แต่ยังเปิด ‘หน้าต่างโอกาส’ ให้นักลงทุนที่เตรียมพร้อมสามารถสร้างผลตอบแทนได้หลายทาง
เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดโอกาสใหม่
การลดดอกเบี้ยของ Fed นับเป็นการเปิดโอกาสใหม่ให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อความคาดหวังว่าต้นทุนการกู้ยืมจะลดลงอาจช่วยกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบันและรายย่อยต่างมองหาผลตอบแทนจากตลาดหุ้นมากขึ้นในภาวะที่ดอกเบี้ยพันธบัตรมีแนวโน้มลดลง
สำหรับนักลงทุนไทย สถานการณ์นี้คือจังหวะที่ต้องวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบ เพราะแม้ดอกเบี้ยจะมีแนวโน้มลดลง แต่ช่วงต้นของวัฏจักรนี้ดอกเบี้ยดอลลาร์ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่ง Webull Thailand ได้นำเสนอ ‘กลยุทธ์รายได้สองต่อ’ ที่ตอบโจทย์ทั้งการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ และการบริหารเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ
Webull Thailand เข้าใจดีว่านักลงทุนต้องการเครื่องมือที่คุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ จึงนำเสนอการซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ แบบ ‘0 ค่าคอมมิชชัน’ (ตามเงื่อนไขที่กำหนด) พร้อมฟีเจอร์ใหม่ ‘Options Level 1’ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้กลยุทธ์ออปชันเบื้องต้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือเพิ่มผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนได้
การซื้อขายออปชันระดับ 1 นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นมากขึ้นในช่วงตลาดผันผวน สามารถใช้กลยุทธ์ Covered Call เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมจากหุ้นที่ถืออยู่ หรือใช้ Protective Put เพื่อป้องกันการขาดทุนในช่วงตลาดปรับตัว ทั้งหมดนี้ทำได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียวที่ใช้งานง่ายและมีต้นทุนต่ำ
บริหารเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ ดอกเบี้ยสูงถึง 4% ต่อปี
จุดเด่นที่ทำให้ Webull Thailand โดดเด่นคือการมอบดอกเบี้ยสูงถึง ‘4% ต่อปี’ สำหรับเงินดอลลาร์ที่พักในบัญชีซื้อขาย นักลงทุนไม่ต้องโอนเงินไปมาหรือทำธุรกรรมเพิ่มเติม เงินที่รอจังหวะลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยรายวันและทบต้นรายเดือนโดยอัตโนมัติ
ช่วงที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย การมีเงินสกุลดอลลาร์ที่ได้รับผลตอบแทนสูงจึงเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะแม้ดอกเบี้ยนโนบายลดลง ก็ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาอำนาจซื้อของเงินดอลลาร์ได้ในระยะยาว
นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการพักเงินระหว่างรอจังหวะเข้าลงทุน การเก็บกำไรจากการขายหุ้นไว้ชั่วคราว หรือแม้แต่การแบ่งพอร์ตส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินสดเพื่อความปลอดภัย ทุกดอลลาร์จะทำงานสร้างผลตอบแทนให้คุณตลอดเวลา
ความสำคัญของการบริหารเงินสดในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนนั้นมีมาก นักลงทุนที่มีเงินสดพร้อมจะสามารถใช้โอกาสเมื่อตลาดปรับตัวลงได้ทันที และการที่เงินสดนั้นยังได้รับดอกเบี้ยสูงระหว่างรอจังหวะ ทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ซื้อหุ้นขั้นต่ำเพียง 1 ดอลลาร์ เปิดโอกาสให้ทุกคน
Webull Thailand ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนทุกระดับเข้าถึงหุ้นชั้นนำของสหรัฐฯ ด้วยการซื้อ ‘หุ้นแบบ Fractional Shares’ ขั้นต่ำเพียง ‘1 ดอลลาร์’ และยังสามารถระบุราคาซื้อหรือขายได้อีกด้วย โดยฟีเจอร์นี้ช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเป็นเจ้าของหุ้นที่มีราคาสูงอย่าง Apple, Amazon หรือ Tesla ได้ตามกำลังการลงทุนของตนเอง
การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging จึงทำได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนจากนโยบายของ Fed นักลงทุนสามารถทยอยสะสมหุ้นคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องรอให้มีเงินก้อนใหญ่ วิธีการนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดและสร้างวินัยในการลงทุนระยะยาว
นอกจากนี้ Webull ยังมีเครื่องมือสนับสนุนการลงทุนครบครัน ทั้ง Level 2 Market Data แบบเรียลไทม์ฟรี ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ bid-ask spread และปริมาณการซื้อขายในแต่ละระดับราคา การซื้อขายในช่วง Pre-market และ After-hours ที่ช่วยให้นักลงทุนตอบสนองต่อข่าวสำคัญได้ทันที รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ครบครัน
การคุ้มครองความปลอดภัยของบัญชีด้วย SIPC สูงสุด 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ ( ตามเงื่อนไขที่ SIPC กำหนด) ยังช่วยให้นักลงทุนมั่นใจในความปลอดภัยของสินทรัพย์ ขณะที่ระบบการทำงานที่ได้มาตรฐานสากลทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างราบรื่นและโปร่งใส
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของนโยบายการเงินโลก นักลงทุนที่มีการวางแผนดีคือผู้ที่ไม่เพียงแค่มองหาผลตอบแทนจากการลงทุน แต่ยังรู้จักบริหารเงินสดให้งอกเงยในทุกสถานการณ์ Webull Thailand พร้อมเป็นพันธมิตรที่จะช่วยให้คุณก้าวผ่านวัฏจักรการลงทุนนี้ด้วย ‘กลยุทธ์รายได้สองต่อ’ ที่ตอบโจทย์ทุกมิติของการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
สามารถสมัครสมาชิกพร้อมรับสิทธิประโยชน์พิเศษได้ที่ https://www.webull.co.th/k/THESTANDARD_Advertorial
ภาพปก : Galeanu Mihai / Getty Images
อ้างอิง:
- https://thestandard.co/powell-opens-door-for-september-cut/
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2025-09-17/fed-cuts-rates-quarter-point-signals-labor-market-concerns
- https://www.cnbc.com/2025/09/16/stock-market-today-live-updates.html
- https://asia.nikkei.com/economy/fed-cuts-rates-by-quarter-point-signals-more-reductions-ahead