×

ปลดล็อกลงทุนหุ้นจีน เดินหน้า DCA รับโอกาสหุ้นถูกแล้วถูกอีก

13.12.2025
  • LOADING...
ปลดล็อกลงทุนหุ้นจีน เดินหน้า DCA รับโอกาสหุ้นถูกแล้วถูกอีก

โค้งสุดท้ายของปี 2568 แล้วนะครับ ปีนี้ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้นทั่วโลก หลายตลาดปรับบวกต่อเนื่อง อุตสาหกรรมที่โดดเด่นอย่างเทคโนโลยี AI ก็เรียกได้ว่าพุ่งกระฉูด ดันตลาดสหรัฐฯ ทำสถิติ All time high และอีกหลายๆ ตลาดที่พลิกคืนชีพดีดกลับมาทำนิวไฮเช่นกัน จนเกิดคำถามต่างๆ…

 

“ตอนนี้หุ้นแพงไปแล้วหรือเปล่า?”
“รอให้ถูกกว่านี้ก่อนดีกว่าไหม?”
“ตลาดขึ้นมาเยอะแล้ว ลงทุนตอนนี้จะติดดอยหรือเปล่า?”

 

ผมมีคำแนะนำปลดล็อกในยุคที่ใครก็ว่า ‘หุ้นแพง’ สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจจะลงทุนอย่างไรต่อดี หรือคนที่อยากจะแก้พอร์ต รีบาลานซ์พอร์ตยังไงดี ถัวเพิ่ม หรือ เริ่มลงทุนครับ

 

Fed ลดดอกเบี้ย ดอลลาร์อ่อน เงินเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้น

 

ผมขออัปเดตสถานการณ์โลกตอนนี้ กระแสใหญ่ที่นักลงทุนทั่วโลกเฝ้ารอ คือ การส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้า 2569 จากประธาน Fed ‘Jerome Powell’ ครับ

 

ซึ่งล่าสุดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ครั้งสุดท้ายของปี เมื่อวันที่ 9-10 ธ.ค. 2568 ได้มีการลงมติ 9-3 ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 3.50-3.75% สะท้อนมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจที่ยังต้องติดตามใกล้ชิด ด้วยตัวเลขตลาดแรงงานที่ชะลอลง อัตราเงินเฟ้อยังอยู่เหนือกรอบเป้าหมายแต่อยู่ในอัตราที่เร่งตัวช้าลง ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวต่ำกว่าคาด

 

ข้อมูล Dot Plot ระบุเจ้าหน้าที่ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปี 2569 และอีก 1 ครั้งในปี 2570 ครั้งละ 0.25% ก่อนให้อัตราดอกเบี้ยกลับสู่เป้าระยะยาว 3% เท่าเดิม

 

นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาการสิ้นสุดวาระของประธาน Fed Jerome Powell ในเดือนพ.ค. 2569 เนื่องจากจุดยืนทางนโยบายของประธาน Fed คนใหม่อาจส่งผลต่อเส้นทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป ซึ่งทรัมป์มีเป้าหมายจะส่งประธาน Fed คนใหม่ที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยเพื่อเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในสมัยของเขา

 

การทิ้งทวนปรับลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งสุดท้ายในปีนี้ของ Fed กระทบต่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว และเงินทุนไหลออกจากตลาดสหรัฐฯ ผมคาดว่าจะไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย อีกทั้งการเพิ่มสภาพคล่องจาก Fed จะช่วยหนุน Sentiment ตลาดหุ้นโดยรวมอีกด้วยครับ

 

ปีหน้าหุ้นสหรัฐฯ เสี่ยงสูง ต่างชาติโยกกระจายลงทุนตลาดเกิดใหม่

 

ปี 2568 นี้เป็นปีที่หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่ปี 2566 แต่ละปีบวกราว 20% รวม 3 ปีก็ขึ้นมากว่า 60% ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวขาขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 หลังผ่านช่วง Liberationday ที่ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้าด้วยการออกมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ หรือที่เรียกกันว่า ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กดดันบรรยากาศลงทุนทั่วโลกปั่นป่วนโดยเฉพาะตลาดหุ้นร่วงระเนระนาด

 

ในช่วงกลางปี สถานการณ์ความตึงเครียดต่างๆ ผ่อนคลายลงเมื่อทรัมป์เปิดการเจรจาต่อรองดีล โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งหลักอย่างประเทศจีนที่ลงตัว สามารถจบดีลแบบชั่วคราว แต่ก็ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นสร้างบรรยากาศการลงทุนหลายๆ ตลาดอีกครั้ง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างด้วยพลังเทคโนโลยี AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ผ่อนคลาย ล้วนเป็นปัจจัยบวกหนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งทะยานมาถึงปัจจุบัน แม้ระหว่างทางจะเผชิญกับข่าวรัฐบาลชัตดาวน์นานกว่า 42 วัน สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้สหรัฐฯ

 

ปีหน้า 2569 หุ้นสหรัฐฯ จะขึ้นต่อได้ไหม ส่วนตัวผมมองว่า อาจจะเห็นตลาดปรับตัวขึ้นต่อได้เป็นปีที่ 4 แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลฟองสบู่ AI, ผลประกอบการของบริษัทในตลาด, สงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และประธาน Fed คนใหม่ที่จะขึ้นมากำหนดทิศทางดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งมีตัวแปรสำคัญ ‘ทรัมป์’ ผู้ที่ไม่มีใครคาดเดาใจได้ กรณีล่าสุด นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับไต้หวัน ซึ่งทำให้รัฐบาลจีนไม่พอใจฝั่งญี่ปุ่น แต่จู่ๆ ทรัมป์ก็ออกมาเบรกนายกฯญี่ปุ่นเอง ทำให้โลกลดความตึงเครียดลงได้

 

ตอนนี้ข้อควรระวัง คือ จีนและญี่ปุ่นยังต้องบริหารน้ำหนักการลงทุนอย่างระมัดระวัง ด้วยความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และความผันผวนเชิงนโยบาย

 

แต่หากมองในระยะยาว ทั้งสองประเทศยังมีโอกาสเติบโต เพราะจีน มีโอกาสจากกลุ่ม New Economy ส่วนญี่ปุ่นมีบริษัทคุณภาพดีหลายแห่งยังสามารถเติบโตได้ จึงยังสามารถทยอยลงทุนเพื่อรับโอกาสในอนาคตได้อยู่ แต่ก็ควรจำกัดน้ำหนัก

 

ปี 2569 ถือเป็นปีที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นท่ามกลางเสียงแตกของนักลงทุนที่บางส่วนยังเชื่อมั่น พลัง AI ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกได้ จะเห็นภาพแรงซื้อสวนกลับในยามที่ตลาดปรับฐานลงและบางส่วนขายทำกำไร

 

ลูกค้าของผมที่ได้รับคำแนะนำให้จัดพอร์ต Core & Satellite (70–80% และ 20-30%) สูตรปลอดภัย-เสี่ยงต่ำ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่วนของ Core จะกระจายลงทุนทั่วโลก หลักๆ เน้นพันธบัตรและดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ ปีนี้พอร์ต Core จะบวมเพราะหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นแรงมาก ผมบอกลูกค้าให้ Rebalance ด้วยการขายหุ้นสหรัฐฯ บางส่วน ล็อกกำไรออกมาก่อน เพื่อให้พอร์ตกลับมาอยู่ในสัดส่วนเหมือนเดิม ตามเป้าหมายระยะยาวที่วางไว้ ซึ่งในพอร์ตหลักก็ยังมีหุ้นสหรัฐฯ เหลืออยู่ ทำให้ยังมีโอกาสเติบโตไปกับเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก

 

ส่วนเงินกำไรก็ให้ลูกค้าถือไว้หรือพักในตลาดเงิน พันธบัตรและรอจังหวะลงทุนในยามที่ตลาดขาลง ซึ่งสามารถจะลงทุนเพิ่มในตลาดหุ้นที่สนใจ หรือหุ้นธีมต่างๆ ที่มีอนาคตเติบโต

 

ส่วน Satellite Port ไม่เกิน 20-30% ส่วนใหญ่จะให้เน้นลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือหุ้นธีมต่างๆ ทั่วโลก เช่น จีน อินเดีย เกาหลีใต้ เวียดนาม และกลุ่มเทคโนโลยีเอเชีย หรืออาจจะใส่ทองคำบ้างก็ได้ เป็นส่วนเสริมเพื่อกระจายความเสี่ยง

 

ฝั่งเอเชีย สัญญาณบวกทิศทางตลาดหุ้นจีนในระยะยาว

 

ในเมื่อปีหน้า บริบทโลกมีความเสี่ยงสูงขึ้น และการประชุม Fed ครั้งต่อๆ ไปอาจเปิดทางให้เงินทุนไหลเข้าสู่เอเชีย

 

แล้วคุณควรเตรียมพอร์ตอย่างไรให้ได้โอกาสสูงสุด?

 

ตลาดเกิดใหม่ที่ผมเชียร์มาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ก็ยังคงเป็น ‘ตลาดหุ้นจีน’ อยู่ครับ เพราะเศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ ซึ่งหากในพอร์ตหลักและพอร์ตรองมีลงทุนในหุ้นทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจ ช่วยให้คนที่จัดพอร์ต Core&Satellite สามารถคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนเติบโตไปกับ 2 ประเทศหลักของโลกในระยะยาวครับ

 

ปัจจุบัน จีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้นในฐานะเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก จีนมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) จีนต่อ GDP โลกพุ่งขึ้น 17% นับตั้งแต่ปี 2001 ที่มีสัดส่วน 4% ของโลก ขณะที่สัดส่วน GDP ของสหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงสู่ระดับ 26% จากที่เคยอยู่ 30% ของโลก ในช่วงเวลาเดียวกัน

 

เศรษฐกิจจีนใหญ่สำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น แต่พบว่า MSCI ACWI ตัวแทนหุ้นโลกที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนเพียง 3.19% แต่กลับมีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ถึง 65% ชี้ว่านักลงทุนยังสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนได้อีกมาก ในช่วงนี้ จึงเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นจีนในยามตลาดขาลงกันครับ

 

ผมจึงยังให้น้ำหนักเชิงบวกการลงทุนหุ้นจีนในระยะยาว แม้ว่าในปีหน้าและปีต่อๆไป จีนยังเผชิญกับความเสี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ซึ่งสหรัฐฯ จำเป็นต้องสกัดกั้นการเติบโตของจีนไม่ให้แซงขึ้นมาแทนที่ได้ แต่จากสงครามการค้ารอบที่ 2 ที่เริ่มต้นเมื่อต้นปีนี้ สุดท้ายก็คลี่คลายลงได้ จึงเชื่อว่า ภายใต้การค้าขัดแย้งที่รุนแรง ในที่สุดทุกฝ่ายจะต้องหาทางออกเพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ครับ ที่สำคัญ รัฐบาลจีนมีแผนรับมือและพร้อมตอบโต้ทุกประเทศที่กีดกันการค้ากับจีนอย่างมีจุดยืนที่ชัดเจน

 

ปี 2568 นี้ ตลาดหุ้นจีนฟื้นแรงมากและบวกต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยเฉพาะในช่วงเดือนสิงหาคมที่รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ทำให้นักลงทุนกลับเข้าตลาดหุ้นจีน โดยผลตอบแทน YTD ปีนี้ ดัชนี SSE ขึ้นมา YTD +19.03% (ส.ค. 2568) แต่หลังจากหมดข่าวดี และรับรู้ข่าวลบทั้ง GDP ไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำสุดในรอบปีที่ 4.8% ปัญหาเงินฝืด ภาคการบริโภคในประเทศอ่อนแอ ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในช่วงขาลงหลังเกิดวิกฤตใหญ่และแก้ยังไม่จบ ปัญหาหนี้ท้องถิ่นทำสถิติใหม่แตะ 134 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 600 ล้านล้านบาท) เนื่องจากรายได้จัดเก็บต่ำมาก ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนปรับฐานลงในไตรมาสสุดท้ายซึ่งจากการวัดผลตอบแทน 12 เดือนย้อนหลัง (เดือน ธ.ค. ) พบว่า ดัชนี SSE YTD บวกราว 14.69% ซึ่งก็ยังถือว่าตลาดหุ้นจีนยังให้ผลตอบแทนที่ดี

 

ฝั่งตลาดหุ้นฮ่องกง เป็นตลาดที่นักลงทุนต่างชาติเลือกลงทุนหุ้นจีนเป็นหลัก ความเคลื่อนไหว HSI (Hang Seng Index) ผลตอบแทน +30% YTD ปีนี้เป็นหนึ่งในตลาดที่ฟื้นแรงสุดในเอเชีย และมีสภาพคล่องสูง ซึ่งได้แรงหนุนจาก หุ้นเทคโนโลยี, หุ้นจีน H-Shares, หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน กลุ่มเทคโนโลยี ที่ปรับตัวดี
โดยภาพรวมหุ้นจีนในปีนี้ นักลงทุนต่างชาติกลับมามีความเชื่อมั่นลงทุนในสินทรัพย์จีนอีกครั้งทั้งลงทุนในพันธบัตร หุ้น โดยต้นปีนี้ มีกระแสเงินทุนไหลเข้า MSCI China ETF อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลออกจาก MSCI EM ex China สะท้อนภาพนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักในหุ้นจีนมากขึ้นเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ หรือ ตลาด EM อื่นๆ

 

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการฟื้นตัวตลาดหุ้นจีนรอบนี้มีแรงส่งจากนโยบายรัฐและการเข้าซื้อของกองทุนภาครัฐมากกว่าแต่ยังไม่ใช่แรงฟื้นตามพื้นฐานบริษัททั้งหมด และนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาบ้าง แต่ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤต COVID-19

 

วัดแรงฟื้นตัวตลาดกับจุดเสี่ยงช่วงปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะ 5 ปี

 

ต้องยอมรับว่า จริงๆ ปลายปีแบบนี้ ตลาดหุ้นจีน – ฮ่องกง อยู่ในจุดชั่งน้ำหนักระหว่าง ‘แรงฟื้น’ และ ‘ความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง’

 

แม้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในจีน ไตรมาส 3 ยังทำกำไรภาคอุตสาหกรรม (Industrial Profit) เพิ่มขึ้น 21.6% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) ซึ่งสูงสุดในรอบราว 2 ปี ส่งผลให้ผลกำไร 9 เดือนของปีนี้ ขยายตัว 3.2% YoY การขยายตัวของกำไรภาคอุตสาหกรรมนำโดยกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง

 

แต่ในภาพรวมของเศรษฐกิจจีนปีนี้ชะลอตัว เนื่องจากมีเพียงบางภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัวหลักๆ อาทิ เทคโนโลยี AI และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เป็นต้น แต่ยังมีอีกหลายหมวดอุตสาหกรรมที่ยังไม่ฟื้นตัวโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้ รัฐบาลจีนคงคาดว่าเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ราว 5% ซึ่งมีแรงสนับสนุนจากภาคการผลิตเชิงอุตสาหกรรมกลับไต่ระดับสูงขึ้น สอดคล้องกับภาคการส่งออกยังแข็งแกร่งตามความต้องการซื้อทั่วโลกซึ่งเหนือความคาดหมาย ทำให้การเติบโตเศรษฐกิจโดยรวมใกล้เคียงเป้าหมายแม้จะเผชิญกับสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อีกระลอก

 

ปีนี้ รัฐบาลจีนเดินหน้าเปลี่ยนทิศเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและเทคโนโลยี แทนการพึ่งการลงทุนและการส่งออก แม้มีสัญญาณอ่อนแอ อาทิ เกิดเงินฝืด ยอดค้าปลีกชะงัก แต่มาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลช่วยประคองไว้ได้
การเดินหน้ากระตุ้น ทั้งด้านการบริโภค ภาคบริการ และการลงทุนภาครัฐ สะท้อนว่า รัฐบาลไม่ไว้วางใจให้เศรษฐกิจฟื้นด้วยตัวเองเร็ว จึงจำเป็นต้อง ‘อัดแรง’ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะชะลอหนัก หรือถึงขั้นเข้าสู่ภาวะเงินฝืด (deflation)

 

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเมินว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีนทั้งปี 2568 อาจอยู่ใกล้ระดับ 5% และรัฐบาลจีนจะออกมาตรการด้านการคลังที่เพียงพอสนับสนุนการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงไม่ให้ลดลงต่ำกว่า 4% ในปี 2569 แต่ยังคงคาดว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ

 

ด้านธนาคารโลกปรับเพิ่มการคาดการณ์การเติบโตของจีนในปีนี้เป็น 4.8% จากเดิมอยู่ที่ 4% สอดคล้องกับการคาดการณ์โดยรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) อย่างไรก็ดี ยังเตือนถึงการชะลอตัวลงในปี 2569 โดยมีสาเหตุมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่ซบเซาลง

 

แต่อีกด้านที่ รัฐบาลจีนกำลังเดินหน้าปรับตัวเชิงโครงสร้าง นั่นก็คือ มุ่งเน้น ‘การบริโภคขับเคลื่อน’ และสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี (รถยนต์ไฟฟ้า, หุ่นยนต์) แทนการลงทุนและการส่งออก เป็นการปรับเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจ เพื่อสร้างสมดุลในระยะยาว

 

โดยในการประชุมใหญ่สมัยที่สี่ (Fourth Plenum) จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20-23 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้วางกรอบยุทธศาสตร์ 5 ปีข้างหน้าของจีน (ปี 2569-2573) ว่า รัฐบาลวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการบริโภคต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มการใช้จ่ายด้านบริการสาธารณะ และส่งเสริมการจ้างงาน อันเป็นหลักการพื้นฐาน แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นส่งเสริมการบริโภคในหมู่ประชากร 1.4 พันล้านคนภายในประเทศของตน ขณะที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังต่อต้านสินค้าราคาถูกของจีนที่ล้นตลาดโลกมากขึ้น

 

รัฐบาลจีนคาด GDP จีนจะทะลุ 170 ล้านล้านหยวน (ราว 776 ล้านล้านบาท) ภายใน 5 ปี อย่างไรก็ดี นักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นจีนจะต้องติดตามข้อมูลข่าวสารเพื่อหาสัญญาณนโยบายใดๆ หรือการเปลี่ยนทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของรัฐบาลจีนด้วยครับ

 

แนะ DCA รับโอกาสหุ้นจีนเข้ารอบกระทิงรับ New Economy

 

ภาพจิ๊กซอว์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะ 5 ปีข้างหน้า กำลังเปลี่ยนผ่านจาก Old Economy สู่ New Economy ยังต้องใช้เวลายาวครับ ตลาดหุ้นจีนในช่วงเวลานี้ปรับตัวขึ้นมาเพียงระดับนึง แต่ยังไม่ถึง ‘รอบกระทิงระยะยาว’ อย่างเต็มตัว

 

ตลาดหุ้นจีนในระดับปัจจุบัน ผมแนะนำว่า ตอนนี้ยังเป็นโอกาสให้ทะยอยสะสมในพอร์ตรอง (Satellite)

 

ผมมีอีกข้อมูลที่น่าสนใจ ‘Market Prediction’ ที่บ่งชี้ว่าประเทศไหนถูกหรือแพง โดย Alpha AI ของ Jitta Wealth ประเมิน 4 ตลาดหุ้นหลักของโลก (ณ 11 พ.ย. 2568)

 

  • ตลาดหุ้นจีน จำนวนหุ้นถูก 42 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 8 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 5.25 เท่า
  • ตลาดหุ้นฮ่องกง จำนวนหุ้นถูก 35 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 15 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 2.33 เท่า
  • ตลาดหุ้นญี่ปุ่น จำนวนหุ้นถูก 32 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 18 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 1.78 เท่า
  • ตลาดหุ้นอเมริกาจำนวนหุ้นถูก 28 ตัว มากกว่าหุ้นแพงที่มีแค่ 22 ตัว เท่ากับมีหุ้นถูกแพง 1.27 เท่า

 

ในมุมของนักวิเคราะห์มองว่า HSI มีโอกาส ‘ฟื้นตัว หรือ รักษาโมเมนตัมขึ้นได้’ ถ้าเศรษฐกิจจีน และนโยบายภายใน-การเงินเอื้ออำนวย แต่ถ้าหากมีข่าวลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนโดยรวม, นโยบายของรัฐบาลจีนนั้นยังมีความไม่แน่นอน ก็อาจกระทบต่อตลาดหุ้นฮ่องกงในระยะสั้นได้

 

แต่ในระยะยาว การลงทุนในหุ้นจีน ฮ่องกง (ดัชนี H-Share และ HSI) ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีหากคุณลงทุนยาว (mid–long term) หรืออาจจะเลือกลงทุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (New Economy) เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด เทคโนโลยีจีน เป็นต้น ซึ่งจะยังคงหนุนให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสเติบโตขึ้นตามการสนับสนุนของภาครัฐ และสะท้อนความคาดหวังในแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะกลางถึงยาว

 

ที่สำคัญ อย่าลืมว่าตลาดหุ้นจีนมีขนาดใหญ่อันดับ 3 ของโลก และในระยะ 5 ปีข้างหน้า หาก GDP จีนมีขนาดใหญ่ตามเป้าหมาย อีกทั้งในแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติฉบับที่ 15 เน้นย้ำถึงการพึ่งพาตนเองด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด การสร้างสมดุลเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ (Dual Circulation & Open up) ผมมองว่า ท้ายที่สุด MSCI อาจจะต้องเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นจีน ก็เป็นไปได้นะครับ ซึ่งหมายถึงนักลงทุนทั่วโลกต้องเพิ่มน้ำหนักหุ้นจีนตาม MSCI ด้วย

 

สำหรับใครที่ลงทุนตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง อยู่แล้ว หากต้องการลงทุนเพิ่ม ผมแนะนำให้แบ่งไม้ลงทุนในช่วงที่ตลาดปรับฐานลง โดยไม้แรก ณ ระดับปัจจุบัน สามารถลงทุนได้ก็ลงทุนไปก่อน และไม้ที่สอง หุ้นปรับฐาน 10-20% คุณมีเงินรอก็สามารถซื้อเพิ่มไม้สองได้ คุณลงทุนแบบนี้จะปลอดภัยครับ และเป็นแนวทางที่ดีกว่าการรอตลาดปรับฐานสุดแล้วค่อยซื้อครับ

 

คนที่พอร์ตยังไม่มีหุ้นจีนเลย ผมแนะนำให้เริ่มต้นลงทุนด้วยวิธีถัวเฉลี่ย หรือ DCA ครับ เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่า รอจังหวะซื้อตอนหุ้นถูกเป็นช่วงไหน ดังนั้น การเลือกลงทุนแบบถัวเฉลี่ยเป็นรายเดือน หรือทุกๆ 3 เดือน จะทำให้ได้ต้นทุนถัวเฉลี่ยทั้งปี ดีกว่าที่ใส่เงินก้อนเดียวซื้อครับ ที่แน่ๆ ต้นทุนที่ถัวเฉลี่ย จะช่วยให้พอร์ตของคุณจะมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดในช่วงระหว่างทางที่มีข่าวลบเข้ามาครับ หากใครยังไม่มั่นใจในการจัดพอร์ตลงทุน สามารถติดต่อหลังไมค์คุยกับผมหรือทีมงาน Jitta Wealth ได้ครับทุกคนพร้อมให้คำแนะนำก่อนตัดสินใจลงทุนครับ

 

ผมมีคำคมการลงทุนของนักลงทุนตำนานโลก ‘Warren Buffett’ กล่าวไว้ว่า

 

“จงฝึกใจให้ทนต่อความผันผวน เพราะผลตอบแทนที่แท้จริงจะมาหาคนที่ไม่สั่นไหว หมอกร้าย จะปกคลุมเศรษฐกิจเป็นระยะ แต่จะมียามที่ ฝนตกเป็นทอง เป็นพักๆ คว้าถังขึ้นมา เมื่อโอกาสมาถึง”

 

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการลงทุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้นะครับ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising