ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปฏิเสธแนวคิดการนำปัจจัยการเมืองมาประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายการเงินของ Fed หลัง วิลเลียม ดัดลีย์ อดีตประธาน Fed สาขานิวยอร์ก เสนอให้ธนาคารกลางพิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจ หาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งอีกสมัยในปี 2020
ดัดลีย์เขียนบทความแสดงความคิดเห็นลงในเว็บไซต์สำนักข่าว Bloomberg เมื่อวานนี้ (27 ส.ค.) ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรใคร่ครวญปรับเปลี่ยนวิธีการกำหนดนโยบายการเงินใหม่ จากเดิมที่ไม่คำนึงถึงปัจจัยการเมือง เพราะหาก Fed ลดดอกเบี้ยลงมากกว่านี้ อาจเปิดทางให้ทรัมป์เดินหน้าทำสงครามการค้ากับจีนหนักหน่วงยิ่งขึ้น ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
อดีตกรรมการ Fed เรียกร้องให้ธนาคารกลางอย่าลดดอกเบี้ยเพิ่มเพียงเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดจากมาตรการทางการค้าของทรัมป์ เพราะการที่ Fed ทำเช่นนั้น จะช่วยให้ทรัมป์สามารถต่อสู้ในสงครามการค้ากับจีนได้อย่างต่อเนื่อง
ดัดลีย์ยังแนะให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ พยายามสร้างอิทธิพลต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้าในปี 2020 โดยเจ้าหน้าที่ Fed มี 2 ทางเลือก คือ ปล่อยให้ทรัมป์ทำสงครามการค้าบนเส้นทางสู่หายนะนี้ต่อไป หรือส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า หากคณะบริหารทรัมป์เปิดศึกการค้าต่อ ตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ เองจะแบกรับความเสี่ยงที่ตามมา ไม่ใช่ธนาคารกลางแต่อย่างใด ซึ่งความเสี่ยงที่ว่านี้ รวมถึงการที่ทรัมป์อาจพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย
ในบทความ ดัดลีย์ระบุว่า ท้ายที่สุดหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอีกสมัย จะเพิ่มความเสี่ยงต่อสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก รวมถึงความเสี่ยงต่อความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายของ Fed และความสามารถในการบรรลุเป้าหมายเรื่องอัตราว่างงานและเงินเฟ้อ
“หากเป้าหมายของนโยบายการเงินคือ การบรรลุผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในระยะยาว เจ้าหน้าที่ Fed ก็ควรพิจารณาแนวทางการกำหนดนโยบายที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งในปี 2020” ดัดลีย์ระบุ
อย่างไรก็ตาม โฆษกของ Fed ออกมายืนยันว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะไม่คำนึงถึงปัจจัยการเมืองในกระบวนการกำหนดนโยบายการเงินอย่างแน่นอน
“การตัดสินใจกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ถูกวางแนวทางโดยข้อบังคับในการรักษาเสถียรภาพของราคา (เงินเฟ้อ) และอัตราการจ้างงานสูงสุด โดยที่การเมืองไม่มีส่วนในการพิจารณาอย่างแน่นอน” โฆษก Fed ระบุในแถลงการณ์
ภาพ: Getty
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: