ในปี 2026 อาจเป็นปีแห่งมรสุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ซึ่งจะเป็นบททดสอบครั้งประวัติศาสตร์ต่อ ‘ความเป็นอิสระ’ ท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ โดยการประชุมนโยบายการเงินนัดสุดท้ายของปีนี้ เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะมาเยือน เมื่อวาระการดำรงตำแหน่งประธาน Fed ของ ‘เจอโรม พาวเวลล์’ สิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 2026 ขณะที่คนสนิทของทรัมป์อย่าง ‘เควิน แฮสเซ็ตต์’ มีชื่อเป็นตัวเต็ง ซึ่งอาจนำไปสู่การโหวตรับรองในวุฒิสภาที่ดุเดือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตัวอย่างเช่น ‘สตีเฟน มิแรน’ ผู้ว่าการ Fed ที่ทรัมป์เสนอชื่อคนล่าสุด ชนะโหวตไปแบบเฉียดฉิวเพียง 48-47 เสียง เนื่องจากฝ่ายการเมืองตระหนักถึงความเสี่ยงของการแทรกแซงนโยบายการเงินที่กำลังจะเกิดขึ้น จนอาจนำไปสู่ความไม่นอนต่อเศรษฐกิจในระดับมหภาค
อย่างไรก็ตาม การสร้าง ‘Fed ของทรัมป์’ เพื่อสั่งลดดอกเบี้ยโดยตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากโครงสร้างของ Fed ถูกออกแบบมาเพื่อถ่วงดุลอำนาจที่ซับซ้อน การเปลี่ยนแปลงนโยบายต้องอาศัยเสียงข้างมากจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งประกอบด้วยผู้ว่าการ Fed (Board of Governors) และประธาน Fed สาขา (Regional Fed Presidents) หลายแห่ง
โดยในปัจจุบันประธาน Fed สาขาจำนวนมากยังคงมีมุมมองแบบ Hawkish หรือกังวลเรื่องเงินเฟ้อและไม่ต้องการรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งขัดแย้งกับความต้องการของทรัมป์ นอกจากนี้ แม้พาวเวลล์จะพ้นจากตำแหน่งประธานแล้ว แต่เขายังมีสิทธิ์นั่งเป็นสมาชิกบอร์ดได้จนถึงปี 2028 ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ แต่ด้วยแรงกดดันทางการเมืองที่ไม่เคยมีมาก่อน พาวเวลล์อาจตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อขัดขวางการครอบงำบอร์ดทั้ง 7 คนของทรัมป์
นอกจากการผลัดเปลี่ยนตัวบุคคลในตำแหน่งสำคัญแล้ว การช่วงชิงอำนาจในปี 2026 ยังรวมถึงการไล่ข้าราชการประจำผ่านกระบวนการทางกฎหมายและแรงกดดันต่อโครงสร้างองค์กร หนึ่งในเดิมพันสูงสุดคือคดีของ ‘ลิซ่า คุก’ ผู้ว่าการ Fed ที่ทรัมป์พยายามไล่ออก แม้ศาลสูงสุดจะอนุญาตให้เธอดำเนินการในตำแหน่งต่อไประหว่างสู้คดี แต่ผลการตัดสินของศาลที่จะเริ่มในเดือนมกราคม 2026 จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญว่า ประธานาธิบดีมีอำนาจปลดผู้กำหนดนโยบายธนาคารกลางได้หรือไม่ ซึ่งกระทบต่อความเป็นอิสระของ Fed โดยตรง ขณะเดียวกัน ทีมงานของทรัมป์ยังได้พยายามกดดัน ‘ประธาน Fed สาขา’ ที่ โดยวิจารณ์ว่าพวกเขาไม่ใช่คนในพื้นที่อย่างแท้จริง และที่สำคัญคือบอร์ดผู้ว่าการ Fed ที่ทรัมป์แต่งตั้ง อาจใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อใช้อำนาจกำกับดูแลในการบีบบังคับหรือแม้แต่ไล่ประธานสาขาออก เพื่อให้การโหวตมตินโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้ปี 2026 ไม่ได้เป็นเพียงปีแห่งการเปลี่ยนตัวบุคคล แต่เป็นปีที่โครงสร้างอันซับซ้อนของ Fed จะต้องรับมือกับแรงเสียดทานทางการเมืองในทุกระดับ ตั้งแต่ประธาน Fed (Fed Chair) ผู้ว่าการ Fed (Board of Governors) ไปจนถึงประธาน Fed สาขา (Regional Fed Presidents) ทรัมป์จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินให้เป็นไปตามวาระของเขา แต่กลไกการถ่วงดุลขององค์กร กระบวนการทางศาล และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้กำหนดนโยบายคนเดิม จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ชี้ขาดว่า สถาบัน Fed จะสามารถรักษาความแข็งแกร่งและอิสระของตนเองไว้ได้หรือไม่


