กูรูฟันธงนโยบาย Fed จบไม่สวย คาดเจอ Hard Landing จนถึงสิ้นปีหน้า

มหาเศรษฐี นักลงทุน และกูรูเศรษฐกิจสหรัฐฯ พากันวิจารณ์การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่เร่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปราบเงินเฟ้อ โดยคาดการณ์ว่านโยบายเช่นนี้จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง

Stanley Druckenmiller นักลงทุนมหาเศรษฐี เชื่อว่าความพยายามของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการปรับเปลี่ยนแนวนโยบายจากการเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจมากว่า 10 ปี มาสู่นโยบายในปัจจุบัน จะนำไปสู่จุดจบที่ไม่สวยนักสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

โดย Druckenmiller กล่าวเมื่อเข้าร่วมงาน CNBC’s Delivering Alpha Investor Summit ที่นครนิวยอร์ก เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (28 กันยายน) ว่า นโยบายของ Fed ในปัจจุบันจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เผชิญภาวะถดถอยภายในสิ้นปี 2023 โดยเจ้าตัวยอมรับว่า มันจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะไม่ถดถอย และเชื่อว่าจะเป็นการถดถอยที่ค่อนข้างเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้

ขณะเดียวกัน ทางสถานีโทรทัศน์ CNN ได้รายงานความเห็นของนักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งที่ออกมาชี้ให้เห็นสัญญาณความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ นั่นคือ ท่าทีของบรรดานายจ้างในสหรัฐฯ ที่พร้อมจะเลิกแผนจ้างงานตามฤดูกาล

Julia Pollack หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ZipRecruiter กล่าวว่า บรรดาบริษัทต่างๆ ชะลอการจ้างงาน และรอดูว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางใด โดยจนถึงขณะนี้ สภาวะเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงแข็งแกร่ง การว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ ยอดค้าปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม และราคาน้ำมันที่ลดลง ช่วยให้ครัวเรือนสหรัฐฯ มีกำลังซื้อมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาอาหารที่สูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว บรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างทวีความกังวลมากขึ้นว่า ฤดูกาลช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดจะมีความแข็งแกร่งมากเพียงใด และส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีกหลายรายคิดหนักเกี่ยวกับจำนวนสินค้าคงคลัง และแผนการจ้างงานพนักงานเพิ่มเติมในช่วงฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยส่งท้ายปี

Jeff Hewitt หุ้นส่วนของบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการ Kearney กล่าวว่า เริ่มมีคำเตือนจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเสี่ยงภาวะถดถอย ทำให้บริษัทต่างๆ มีความรอบคอบมากขึ้นในการเคลื่อนไหว เพื่อทำให้ธุรกิจมีความคล่องตัวและยืดหยุ่น

ทั้งนี้ ข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าการจ้างงานในภาคค้าปลีก โดยปกติจะเพิ่มขึ้น 450,000 คนในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งวันหยุด โดยจำนวนนี้เป็นการจ้างงานในภาคคลังสินค้าถึง 350,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล

ปีที่แล้ว Walmart (WMT) ซึ่งเป็นนายจ้างภาคเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศที่มีพนักงาน 1.3 ล้านคนในร้านค้าในสหรัฐฯ ได้ว่าจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นทั้งหมด 150,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานประจำในบัญชีเงินเดือนในช่วงหลายเดือนก่อนถึงวันหยุด แต่ปีนี้มีรายงานว่าทาง Walmart จะมีการจ้างงานตามฤดูกาลเพียง 40,000 ตำแหน่ง ซึ่งทาง Walmart ย้ำว่า ที่ลดลงเป็นเพราะปีที่แล้ว เป็นช่วงที่เพิ่งฟื้นตัวจากโควิด ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ

ก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม Walmart ได้ออกโรงเตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงภาวะถดถอย หลังเห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ลดการใช้จ่ายด้านของใช้ในครัวเรือน เสื้อผ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้า และหันไปใช้เงินในอาหารและพลังงานที่มีราคาสูงขึ้น ขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ Walmart เองยังจำเป็นต้องปรับลดพนักงานประจำลง 200 ตำแหน่ง และต้องลดราคาสินค้าที่ไม่จำเป็นจำนวนมาก เพื่อจัดการเคลียร์สินค้าออกจากคลัง

ขณะที่ทาง FedEx เตือนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัวได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณการจัดส่งในเดือนสิงหาคมให้ลดลง และคาดว่าการชะลอตัวจะดำเนินต่อไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก โดยตัวบริษัทในขณะนี้เพิ่งจะประกาศมาตรการลดต้นทุนจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงการลดจำนวนเครื่องบินบริการ และตัดชั่วโมงการทำงานของพนักงาน ขณะที่จนถึงขณะนี้ ทาง FedEx ยังไม่ได้ประกาศเป้าหมายการจ้างงานตามฤดูกาลสำหรับปีนี้

Caroline Moses Little โฆษกของทาง FedEx กล่าวว่า บริษัทยังคงจ้างงานในตำแหน่งที่จำเป็นในบางพื้นที่ตามปกติ ซึ่งปีที่แล้วบริษัทมีแผนจะจ้างคนงาน 90,000 คนก่อนวันหยุด

ด้าน UPS คู่แข่งของ FedEx กำลังวางแผนจ้างพนักงานเพิ่ม 100,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขเท่าปี 2021 ขณะที่ Walmart ตั้งใจจะจ้างพนักงานตามฤดูกาล 100,000 คน แม้ว่ารายได้ของบริษัทจะลดลง 90% ในไตรมาสล่าสุด เนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนไปคือ ลดการบริโภคของใช้ที่ไม่จำเป็น

ขณะที่นักวิเคราะห์ของ ZipRecruiter กล่าวว่า สถานการณ์โดยรวมในปัจจุบันเป็นสภาพแวดล้อมที่ต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นในการจ้างคนงานตามฤดูกาล

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH