วันนี้ (18 เมษายน) พรรคเป็นธรรม นำโดย กัณวีร์ สืบแสง เลขาธิการพรรค ฮากิม พงตีกอ รองเลขาธิการพรรค และ ฮาฟิส ยะโกะ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 3 จังหวัดนราธิวาส หมายเลข 6 พรรคเป็นธรรม แถลงข่าวกรณีสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จังหวัดนราธิวาส เชิญฮาฟิสไปชี้แจงกรณีการติดป้ายหาเสียงที่มีข้อความว่า ‘ปาตานีจัดการตนเอง’
ฮาฟิสเปิดเผยว่า ทาง กกต. จังหวัดนราธิวาส ได้โทรศัพท์มาเชิญให้ไปชี้แจงเมื่อช่วงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน แต่ตนเองติดการลงพื้นที่หาเสียง จึงได้ไปพบ กกต. เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา โดยทาง กกต. จังหวัดนราธิวาส ตั้งข้อสังเกตว่า คำว่า ‘ปาตานีจัดการตนเอง’ ที่ใช้หาเสียง เป็นคำแสลงที่หมิ่นเหม่กับหน่วยงานด้านความมั่นคง
“ผมได้ยืนยันว่า ‘ปาตานีจัดการตนเอง’ เป็นนโยบายจังหวัดจัดการตนเอง เป็นเพียงการกระจายอำนาจ โดยเราใช้คำว่า ปาตานี เป็นภาพรวม เพื่อแทนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง กกต. ขอว่าใช้นราธิวาสไม่ได้เหรอ โดยบอกว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงไม่สบายใจ และมีคำถามมาถึง กกต. ว่าจะทำอย่างไรกับคำนี้ ผมก็งงว่าองค์กรอิสระทำไมให้หน่วยงานอื่นมาท้วงติงได้” ฮาฟิสกล่าว
ฮาฟิสตั้งข้อสังเกตว่า กกต. เป็นองค์กรอิสระ ทำให้หน่วยงานอื่นมาท้วงติงการปฏิบัติงานได้ และนโยบายนี้เป็นไปตามหลักการกระจายอำนาจ
ขณะที่กัณวีร์ เลขาธิการพรรคเป็นธรรม ในฐานะผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเป็นธรรม หมายเลข 3 ชี้แจงด้วยว่า พรรคเป็นธรรมมีนโยบายจังหวัดจัดการตนเอง และพื้นที่ปาตานี หรือจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นส่วนหนึ่งในพื้นที่ชายแดนและชายฝั่งทะเลและเกาะแก่ง 53 จังหวัดที่อยู่ในนโยบายนี้
“เราไม่ตกใจที่ กกต. ร้องขอให้ผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 จังหวัดนราธิวาส ให้มาชี้แจงคำว่า ‘ปาตานีจัดการตนเอง’ เพราะเป็นการตอกย้ำหน่วยงานรัฐไทยที่การทหารนำการเมือง มองแต่เพียงว่าจะไปกระทบความมั่นคง โดยไม่คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์เปิดเผยอีกว่า ตนเองได้คุยกับทาง กกต. จังหวัดนราธิวาส ยืนยันว่านโยบายจัดการตนเองไม่ใช่การปกครองตนเอง ซึ่งคำว่า Management ต่างจาก Government เป็นนโยบายที่ให้จังหวัดชายแดน 33 จังหวัด และจังหวัดชายฝั่งทะเลเกาะแก่ง 23 จังหวัด ได้มีฐานการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะมีเศรษฐกิจหมุนเวียนหลายหมื่นล้านบาท ลักษณะจะให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเหมือนกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ที่เป็นการปกครองพิเศษ แต่การห้ามใช้คำว่า ‘ปาตานี’ เป็นสิ่งที่พรรคเป็นธรรมต้องต่อสู้ เพราะหากเราไม่ทำตามข้อเสนอ กกต. ผู้สมัคร ส.ส. ของเราถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง เป็นความไม่เป็นธรรม
“ข้อเรียกร้องคำว่า ‘ปาตานี’ ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ หากความมั่นคงมองว่าเรื่องนี้เป็นภัยคุกคาม แล้วเมื่อไรประชาธิปไตยของไทยจะงอกงาม เราคงไม่ถอดหรือปลดป้ายออก พรรคเรายืนยันว่านโยบายจังหวัดจัดการตนเองยังเสนออยู่ เพราะเป็นนโยบายที่เสนอให้ทาง กกต. รับทราบเรียบร้อยแล้ว หากจะให้ถอนหรือปิดคำว่า ‘ปาตานี’ แต่เรายังต้องการให้ ‘ปาตานีจัดการตนเอง’” กัณวีร์กล่าว
กัณวีร์กล่าวด้วยว่า ในการชี้แจง กกต. บอกว่า วิญญูชนเวลาอ่านป้าย ‘ปาตานีจัดการตนเอง’ มีการตีความว่าให้ปกครองตนเอง ซึ่งฟังแล้วก็ตกใจคำพูดจาก กกต. เพราะคำนี้ไม่ใช่ Autonomy หรือการปกครองตนเองที่ฝ่ายความมั่นคงเป็นห่วง แต่คำนี้เป็นเพียงการกระจายอำนาจและประชาชนต้องการเสรีภาพ แต่นี่แค่ติดป้าย ‘ปาตานีจัดการตนเอง’ ยังถูกห้ามจากทหาร ก็แสดงว่าทหารยังนำการเมือง ยังไม่เป็นประชาธิปไตย
ด้านฮากิม รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าวว่า พรรคเป็นธรรมอยากสถาปนาให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าการเมืองต่างหากที่เปลี่ยนแปลงปัญหาในพื้นที่ปาตานีได้ พรรคจึงอยากเปลี่ยนผ่านความขัดแย้งโดยใช้การเมือง พรรคต้องการให้ประชาชนเห็นว่าเรามีสิทธิทางการเมืองอย่างสันติ ในการชูอัตลักษณ์ผ่านระบบเลือกตั้ง แต่รัฐราชการยังไม่เข้าใจเรื่องนี้
“ในกระบวนการสันติภาพ การปกครองตนเอง และการกระจายอำนาจ ก็ถูกพูดคุยในวงราชการ นโยบายของเรายังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและแนวคิดของรัฐ จังหวัดจัดการตนเองเป็นเพียงการกระจายอำนาจ และโอกาสในการพัฒนาพื้นที่ นำอัตลักษณ์พื้นที่และคำว่า ‘มลายูปาตานี’ เป็นอัตลักษณ์ ที่สามารถสะท้อนสู่สังคมโลก ก็จะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาทางเศรษฐกิจได้ด้วย ต่างจากมุมมองของหน่วยความมั่นคง พรรคเป็นธรรมให้ความสำคัญกับกระบวนการสันติภาพ เราก็ทำอยู่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ เป็นคำที่ไม่อันตราย ปัญหาไม่ใช่นโยบายของเรา แต่มุมมองของราชการที่ต้องปรับเข้าหาประชาชน” ฮากิมกล่าวย้ำ
ด้านฮาฟิสไม่กังวลที่ กกต. ระบุว่าหากไม่ปลดป้ายอาจจะนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิการเป็นผู้สมัคร ส.ส. และยืนยันว่าขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่ง กกต. ให้เวลาภายใน 4 วันในการปลดป้าย หลังจากนี้ทาง กกต. จะมีการส่งหนังสือมาให้ผู้สมัคร และส่งหนังสือถึงพรรคให้ชี้แจงไปที่ กกต. กลาง ทางพรรคก็จะทำหนังสือชี้แจงไปและยืนยันใช้คำว่า ‘ปาตานี’ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
ส่วนกัณวีร์ยังยืนยันด้วยว่าจะไม่ปลดป้ายออก เพราะเป็นข้อเรียกร้องของประชาชน ซึ่งมาจากโครงการฟังเสียงศักดิ์สิทธิ์ ที่พรรคเป็นธรรมได้มาจากการรับฟังเสียงของประชาชน จึงนำมาเป็นนโยบาย
“ถ้าเราปลดป้ายก็จะเป็นการหักหลังประชาชน เราไม่สามารถทำได้ และยืนยันว่าคำว่า ‘ปาตานี’ จะไม่เลือนหายจากพรรคเป็นธรรม เรายังต่อสู้เพื่อชาวปาตานี เราจะแสดงออกในการต่อสู้และพูดคุยคำว่า ‘ปาตานี’ ต่อไป” กัณวีร์กล่าวย้ำ