จากการแสดงเทคโนโลยีจดจำใบหน้าหรือ Face Recognition ของบริษัท Central JD Fintech ที่ได้รับกระแสตอบรับล้นหลามในงาน Digital Thailand Big Bang 2018 ที่ผ่านมา ยิ่งตอกย้ำว่า เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของเราแน่นอน
และนี่คือ 5 เหตุผลที่เราคิดว่าทำไม Face Recognition จะเป็น The Next Big Thing ที่พลิกโฉมวงการธุรกิจและการใช้ชีวิตของทุกคน
1. Face Recognition จะอยู่ในทุกที่
ทุกวันนี้เมืองทั่วโลกเริ่มผนวกเทคโนโลยี Face Recognition เข้ากับบริการสาธารณะ เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัย โดยอาศัยข้อมูลทางกายภาพของบุคคล (Biometric Identification) ในการระบุตัวตนแบบอัจฉริยะ เช่น ม่านตา ใบหู ลายนิ้วมือ สิงคโปร์ได้ติดตั้งระบบจดจำใบหน้าในท่าอากาศยานชางงี หวังแก้ปัญหาผู้โดยสารตกค้าง และลดอัตราเที่ยวบินดีเลย์ ประเทศจีนเองก็เดินหน้าใช้งานเทคโนโลยีนี้เต็มรูปแบบ เช่น ระบบรักษาความปลอดภัยผ่านกล้องวงจรปิด เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกๆ ด้าน
2. การจ่ายเงินด้วยใบหน้าจะกลายเป็น New Normal
เทรนด์การจ่ายเงินผ่านการสแกนใบหน้ากำลังมาแรงและยกระดับประสบการณ์ช้อปปิ้งในจีนไปอีกขั้น JD Finance ผู้นำด้านฟินเทคในจีนได้เปิดตัว Face Payment บริการจ่ายเงินด้วยใบหน้า ซึ่งรองรับทั้งช่องทางออนไลน์ (E-Payment) กับออฟไลน์ เช่น Xmart ร้านสะดวกซื้อไร้พนักงาน (Unmanned Store) 7Fresh ซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะ ไปจนถึง JD Home ร้านอุปกรณ์ไอทีของ JD.com และตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติตามออฟฟิศชั้นนำ บริการดังกล่าวยังช่วยลดความเสี่ยงและข้อผิดพลาดของการชำระสินค้า/บริการของธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งอาจเกิดจากความผิดพลาดของพนักงาน
3. ยกระดับความปลอดภัย ป้องกันการปลอมแปลงตัวตนด้วยระบบอัจฉริยะ
เบื้องหลังประสบการณ์จ่ายเงินแบบไร้รอยต่อคือ การพัฒนาเทคโนโลยี Deep Learning กับ Machine Learning อันทรงประสิทธิภาพ ผ่านการฝึกจากแบบจำลองกับข้อมูลนับสิบล้านชุด ทำให้มีความแม่นยำสูงถึง 99.99% ซึ่งแม่นยำกว่าสายตาคน หรือแม้แต่การระบุตัวตนด้วยรอยนิ้วมือ นอกจากนี้ ยังมีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์สำหรับตรวจสอบข้อมูลตรงหน้าและแสดงผลแบบเรียลไทม์ (Live Detection) เพื่อเสริมความปลอดภัยและป้องกันการปลอมแปลงตัวตน (Face Anti-Counterfeiting) ปัจจุบันมีผู้ใช้เทคโนโลยีนี้ผ่านแอปพลิเคชัน JD Finance กว่า 10 ล้านคนในจีน!
4. เข้าใจลูกค้าด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเรียลไทม์
ในยุคแห่งการแข่งขันด้วยข้อมูล ระบบวิเคราะห์ใบหน้า (Face Anlysis) จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า (Customer Onboarding) เช่น เพศ อายุ อารมณ์ หรือกระทั่งติดตามเส้นทางของผู้ใช้ (Customer Journey)
5. ตอบโจทย์ธุรกิจและการใช้ชีวิตในทุกด้าน
Face Recognition จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ 4.0 และช่วยขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความเป็นอัจฉริยะ ตั้งแต่การตรวจสอบและยืนยันตัวตนบุคคลบนโลกออนไลน์ (Online Authentication) การล็อกอินแพลตฟอร์มต่างๆ การให้บริการของธนาคาร (Bank Lobby Service) หรือแม้แต่ในอาคารอัจฉริยะ (Smart Buildings)
ถามว่าประเทศไทยจะมีโอกาสได้ใช้บ้างไหม?
ปัจจุบันคนไทยนิยมใช้ E-Payment แทนเงินสดกันมากขึ้น นายกสมาคมการค้าผู้ให้บริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ไทยคาดการณ์ว่า สัดส่วนของธุรกิจที่ใช้เงินสดจะลดลงจาก 90% ในปี 2017 เหลือ 50% ภายในเวลา 2 ปี
บริษัท Central JD Fintech มีแผนจะเปิดให้บริการด้าน E-Finance และ E-Payment Platform ที่สอดรับไลฟ์สไตล์ของคนไทย ทั้งกลุ่มลูกค้ารายย่อย ร้านค้า และซัพพลายเออร์ โดยต่อยอดจากความรู้ความเชี่ยวชาญเชิงลึกและประสบการณ์ของ JD Finance ในการพัฒนาบริการด้านฟินเทค ซึ่งเป็นบริการที่ได้รับการทดสอบ ยอมรับ และใช้จริงมาแล้ว มาให้คนไทยได้ใช้กัน
บริษัท Central JD Fintech เปิดเผยกับ THE STANDARD ว่า Central JD Fintech จะเปิดให้บริการ E-Wallet เป็นอันดับแรก โดยจะผนวกเทคโนโลยี Face Recognition ในการยืนยันตัวตนและการชำระเงิน ร่วมกับร้านค้าในเครือเซ็นทรัลและพันธมิตรนอกเครือเซ็นทรัล
เพื่อยกระดับประสบการณ์การชำระเงินให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ตลอดจนช่วยส่งเสริมระบบนิเวศของเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้สมบูรณ์
ยิ่งเป็นสัญญาณอันดีว่า เราคงมีโอกาสได้ใช้งานเทคโนโลยีนี้กันจริงๆ ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเราอาจเข้าสู่ยุคของ Walletless Society ที่ไม่จำเป็นต้องพกทั้งเงินสด บัตรเครดิต กระเป๋าสตางค์ หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนกันอีกต่อไป
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- ข้อมูลจาก Central JD Fintech
- news.mbamagazine.net/index.php/e-con/local/item/480-e-payment
- www.scbeic.com/th/detail/product/4208
- www.scmp.com/business/money/article/2155223/china-goes-increasingly-cashless-pboc-says-cash-payment-still-alive
- บริษัท JD Finance ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2013 ภายใต้ JD.com ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในจีน ก่อนจะแยกตัวออกมาดำเนินธุรกิจอย่างอิสระในเดือนมิถุนายน 2017 ที่ผ่านมา
- ปัจจุบัน JD Finance มีธุรกิจหลัก 10 ประเภท ได้แก่ ไฟแนนซ์เพื่อซัพพลายเชน (Enterprise Finance), ไฟแนนซ์เพื่อผู้บริโภค (Consumer Finance), การระดมทุนคราวด์ฟันดิ้ง (Crowd-funding), การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management), บริการการชำระเงิน (Payment), ประกันภัย (Insurance), ไฟแนนซ์เพื่อชนบท (Rural Finance), เทคโนโลยีด้านการเงิน (Financial Technology), ธุรกิจหลักทรัพย์ (Security) และธุรกิจการนำเทคโนโลยีหลากหลายรูปแบบมารวมกันเพื่อพัฒนาชีวิตคนเมือง (Urban Computing)