เจ้าหน้าที่การบินของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FAA) ได้ออกคำสั่งฉุกเฉินเร่งด่วนเมื่อวันเสาร์ (8 พ.ย.) สั่งระงับการบินของเครื่องบินรุ่น McDonnell Douglas MD-11 ทุกลำในทันที คำสั่งนี้กำหนดให้เครื่องบินทุกลำต้องจอดบนภาคพื้นดินจนกว่าจะมีการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
คำสั่งดังกล่าวเป็นการตอกย้ำการตัดสินใจของ UPS และ FedEx สองยักษ์ใหญ่ด้านการขนส่ง ที่ได้สั่งระงับการบินของฝูงบิน MD-11 ของตนไปก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (7 พ.ย.) โดยให้เหตุผลว่าเป็นการดำเนินการ ‘ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง’ หลังจากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงจากอุบัติเหตุเมื่อวันอังคาร (4 พ.ย.) ที่ผ่านมา เมื่อเครื่องบินขนส่งสินค้า MD-11 ของ UPS เที่ยวบิน 2976 ที่มุ่งหน้าไปยังโฮโนลูลู ประสบเหตุเครื่องยนต์ด้านซ้ายและเสาค้ำยัน (pylon) หลุดออกจากปีกระหว่างการบินขึ้น
องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ระบุในคำสั่งว่า “สภาวะนี้อาจส่งผลให้สูญเสียความสามารถในการบินและลงจอดอย่างปลอดภัยต่อไป” และเสริมว่าปัญหานี้ “มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหรือพัฒนาในผลิตภัณฑ์อื่นที่มีการออกแบบเดียวกัน”
โศกนาฏกรรมที่ศูนย์กลางการบิน UPS Worldport ในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ ซึ่งเป็นศูนย์คัดแยกพัสดุที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย ซึ่งรวมถึงนักบิน 3 รายบนเครื่อง และผู้เสียชีวิตบนภาคพื้นดิน หลังจากเครื่องบินพุ่งชนอาคารธุรกิจใกล้เคียง
เครื่องบินรุ่น MD-11 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 9% ของฝูงบิน UPS และ 4% ของฝูงบิน FedEx โดยปัจจุบันมีเครื่องบินขนส่งสินค้ารุ่นนี้ให้บริการอยู่ประมาณ 70 ลำ
“เราตัดสินใจดำเนินการตามคำแนะนำของผู้ผลิตในทันที” UPS ระบุในแถลงการณ์ “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของพนักงานของเราและชุมชนในพื้นที่ที่เราให้บริการ”
ด้าน Boeing ซึ่งควบรวมกิจการกับ McDonnell Douglas ในปี 1997 ได้ออกแถลงการณ์ว่า “ได้แนะนำให้ผู้ให้บริการ MD-11 ทั้งสามรายระงับการปฏิบัติการบิน ขณะที่กำลังมีการวิเคราะห์ทางวิศวกรรมเพิ่มเติม”
ในขณะเดียวกัน การสืบสวนหาสาเหตุของอุบัติเหตุยังคงดำเนินต่อไป โดยคณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (NTSB) ได้เปิดเผยผลการสอบสวนเบื้องต้นจากเครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (CVR) ที่พบว่ามีเสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นประมาณ 37 วินาทีหลังจากที่ลูกเรือเร่งเครื่องยนต์เพื่อบินขึ้น
เสียงสัญญาณเตือนนั้นดังต่อเนื่องไปอีก 25 วินาทีจนกระทั่งสิ้นสุดการบันทึก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ลูกเรือพยายามอย่างยิ่งที่จะควบคุมเครื่องบินขณะที่เครื่องแทบจะไม่ลอยขึ้นจากรันเวย์ โดยที่ปีกซ้ายมีไฟลุกท่วมและเครื่องยนต์ได้หลุดออกไปแล้ว
เจฟฟ์ กุซเซตติ อดีตผู้สืบสวนอุบัติเหตุของรัฐบาลกลาง วิเคราะห์ว่าสัญญาณเตือนดังกล่าวน่าจะเป็นการเตือนเรื่องไฟไหม้เครื่องยนต์ “มันเกิดขึ้นในจังหวะที่เครื่องบินน่าจะมีความเร็วเกินกว่าจุดที่จะสามารถยกเลิกการบินขึ้นและหยุดบนรันเวย์ได้อย่างปลอดภัยแล้ว” กุซเซตติ กล่าว “คณะสืบสวนจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดถึงทางเลือกที่ลูกเรืออาจมีหรือไม่มีในขณะนั้น”
สำหรับเครื่องบินลำที่เกิดเหตุมีอายุ 34 ปี (สร้างในปี 1991) และเพิ่งผ่านการซ่อมบำรุงนานกว่าหนึ่งเดือนในซานอันโตนิโอจนถึงกลางเดือนตุลาคม แม้จะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นการซ่อมบำรุงในส่วนใด
The Wall Street Journal รายงานว่า เครื่องบินลำนี้ถูกดัดแปลงจากเครื่องบินโดยสารมาเป็นเครื่องบินขนส่งสินค้าในช่วงทศวรรษ 2000 และในการซ่อมบำรุงครั้งล่าสุดมีการระบุว่าพบรอยแตกในถังเชื้อเพลิงและพบการกัดกร่อนตามคานโครงสร้างสองจุดในลำตัวเครื่อง
ทั้งนี้ศูนย์คัดแยกพัสดุ UPS Worldport ในเมืองหลุยส์วิลล์ถือเป็นศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท โดย จิม เมเยอร์ โฆษกของ UPS กล่าวว่า การปฏิบัติงานของศูนย์ได้กลับมาดำเนินการอีกครั้งในคืนวันพุธ (5 พ.ย.)
ภาพ : Stephen Cohen/Getty Images
อ้างอิง:


