สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยื่นฟ้องบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เป็นคดีแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ ทป.179/2561 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561
ในข้อหาหรือฐานความผิดสัญญาสิทธิประโยชน์, ลิขสิทธิ์, ติดตามเอาทรัพย์สินคืน จำนวนทุนทรัพย์ 1,139,035,781.70 บาท โดยศาลนัดชี้มูลวันที่ 1 เมษายน 2562
โดยก่อนหน้านี้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ บอกเลิกสัญญากับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2559 หลังพิจารณาเห็นว่าสัญญาไม่เป็นธรรมกับสมาคมฯ
เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ในช่วงกำหนดระยะเวลา 5 ปี สัญญากำหนดค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฯ ร้อยละ 5 จากรายได้สิทธิประโยชน์ทั้งหมด แต่จากรายงานระบุว่า บริษัท สยามสปอร์ต มิได้จ่ายค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์ต่อสมาคมฯ ซึ่งคือการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญา
ส่งผลให้ทางบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้องสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยและสภากรรมการของสมาคมฯ เป็นคดีแพ่งต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560 ในข้อหาหรือฐานความผิดที่ผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาทเศษ
จากกรณีที่ทางสยามสปอร์ตได้นำสัญญาแต่งตั้งผู้บริหารสิทธิประโยชน์ ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งมีอัตราค่าตอบแทนร้อยละ 50 มาฟ้องสมาคม และเรียกค่าเสียหาย 1,400 ล้านบาท เห็นว่าในสัญญานี้มี 2 สัญญา สัญญาแรกระบุว่า สยามสปอร์ต จะต้องจ่าย 5 เปอร์เซ็นต์ แต่อีกสัญญาจ่าย 50 เปอร์เซ็นต์ แต่นับตั้งแต่ปี 2556 ไม่มีหลักฐานทางบัญชีปรากฏ หรือไม่มีหลักฐานใดๆ ปรากฏว่าสยามสปอร์ตได้มอบเงินค่าลิขสิทธิ์ที่เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาให้สมาคมฯ จึงเป็นเหตุให้สมาคมบอกเลิกสัญญาดังกล่าว
โดยเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 ทางสมาคมฟุตบอลได้ออกมาเปิดเผยหนังสือผ่านทางเพจ Fair ระบุว่า ขอให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องจากกรณีข้างต้นใจความว่า
ด้วยบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) (สยามสปอร์ต) บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ยื่นฟ้องสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สมาคม) ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ทป.79/2560 ปรากฏตามสำเนาคำฟ้องที่ส่งมาด้วย 1
ต่อมาได้มีการสืบพยานของสยามสปอร์ตแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ได้มีการทำสัญญาแต่งตั้งผู้บริหารสิทธิประโยชน์ฟุตบอลลีกอาชีพ ระหว่างสยามสปอร์ตกับสมาคม ปรากฏตามสำเนาสัญญาที่ส่งมาด้วย 2 จากนั้นได้มีการเบิกจ่ายเงิน โดยระบุว่าจ่ายให้แก่สมาคมหลายครั้งตามใบสำคัญจ่ายเงินเลขที่ PV 5602246 เช็คเลขที่ 0035331 ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2556 จำนวน 20,000,000 บาท เช็คเลขที่ 0035332 จำนวน 263,827.19 บาท เช็คเลขที่ 0035333 จำนวน 36,172.81 บาท และตามใบสำคัญจ่ายเงินเลขที่ PV 15712410 เช็คเลขที่ 08496765 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2557 จำนวน 1,010,000 บาท
ปรากฏตามสำเนาใบสำคัญจ่ายเงินที่ส่งมาด้วย 3 โดยมิได้ส่งมอบเช็คให้กับสมาคมเพื่อเรียกเก็บเงิน จึงไม่มีเงินจำนวนดังกล่าวเข้าสู่บัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของสมาคมที่ฝากไว้กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนอโศกดินแดง เพียงแห่งเดียวแต่อย่างใด
ปรากฏตามสำเนารายการเดินบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ส่งมาด้วย 4-5 นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2556 ได้ทำใบสำคัญจ่ายเงินเลขที่ PV 5602115 ระบุว่า จ่ายให้กับสมาคม โดยออกเช็คเลขที่ 7230323 ลงวันที่ 25 เมษายน 2556 จำนวน 7,000,000 บาท แต่เช็คดังกล่าวระบุชื่อ นายวรวีร์ มะกูดี ไม่ได้จ่ายให้สมาคม ไม่มีเงินจำนวนนี้เข้าบัญชีเงินฝากของสมาคม ปรากฏตามสำเนาใบสำคัญจ่ายเงินและสำเนาเช็คที่ส่งมาด้วย 6-7
ข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ถือได้ว่าผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสยามสปอร์ต ได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กับพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ดังนั้น เพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษตามกฎหมายและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสยามสปอร์ต อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นรายย่อยทั่วไป คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ควรจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: