×

‘หมู่อาร์ม’ กับการเปิดโปงทุจริต และต้นทุนชีวิตที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

โดย THE STANDARD TEAM
23.06.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • นี่คือเรื่องราวของทหารชั้นประทวนนายหนึ่งที่ผู้คนในสังคมไทยเวลานี้รู้จักเขาในฐานะ ‘หมู่อาร์ม’ ที่ความกล้าและแรงผลักดันบางอย่าง ทำให้เขาเลือกที่จะออกมาเปิดเผยการทุจริตของหน่วยงาน
  • การเดินหน้าต่อสู้เรื่องดังกล่าว ทำให้เขาอาจต้องสูญเสียบางส่วนของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน หรืออิสรภาพ แต่เขายังเลือกจะเดินหน้าต่อไปท่ามกลางสังคมที่จับตาและร่วมตั้งคำถาม
  • ปรากฏการณ์ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงกองทัพ’ ที่เริ่มต้นจากทหารยศน้อย เเต่เวลานี้กลายเป็นชนวนที่เขย่าโครงสร้างและปมปัญหาที่กำลังรอคอยการคลี่คลาย จะเป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งของการปฏิรูปกองทัพไปพร้อมกันด้วย

วานนี้ (22 มิถุนายน) ส.อ. ณรงค์ชัย อินทรกวี หรือหมู่อาร์ม ปรากฏตัวในเครื่องแต่งกายแบบพลเรือน เสื้อยืด กางเกงยีนส์ ก่อนเข้าสู่ห้องพิจารณาคดี เขาเดินมารับมอบดอกกุหลาบจากประชาชนที่มาให้กำลังใจหน้าศาลทหาร 

 

หลังกองทัพบกมีหนังสือแจ้งปลดเขาออกจากราชการเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมทั้งถูกดำเนินคดี 2 ข้อหา คือ ขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชา และหนีราชการทหาร 

 

อย่างไรก็ตาม ส.อ. ณรงค์ชัย ได้ปฏิบัติตามกระบวนการ โดยไปรายงานตัวต่อหน่วยงานต้นสังกัดที่จังหวัดปทุมธานี จากนั้นได้ถูกนำตัวมาส่งฟ้องและฝากขังต่อศาลทหาร และใช้เวลาในการรอว่าศาลจะพิจารณาปล่อยชั่วคราวหรือไม่ เนื่องจากพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว โดยระบุเหตุผลว่า การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนของ ส.อ. ณรงค์ชัย อาจทำให้พยานไขว้เขว 

 

ในเวลาต่อมา ศาลทหารได้อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยการวางหลักประกันเป็นวงเงิน 50,000 บาท มี วีระ สมความคิด รับเป็นนายประกันให้เขา

 

ส.อ. ณรงค์ชัย ต้องเผชิญชะตากรรมจนถึงเวลานี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการออกมาเปิดเผยปัญหาการทุจริตเบี้ยเลี้ยงในหน่วยงานของเขา

 

เขาเป็นทหารชั้นประทวน ตำแหน่งเสมียนงบประมาณ แผนกโครงการและงบประมาณกองแผน โครงการศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์ กรมสรรพาวุธทหารบก หน้าที่หลักของเขาคือการทำบัญชีเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยที่เขาสังกัด จึงได้พบเห็นความผิดปกติของการเบิกจ่ายงบประมาณตั้งแต่ปี 2555 

 

โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบเดินทางเบี้ยเลี้ยงปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีรายชื่อของผู้ที่เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่เป็นทหารในหน่วยของเขาจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ และเกิดเหตุการณ์แบบนี้หลายต่อหลายครั้ง 

 

อีกทั้งเบี้ยเลี้ยงที่มีการเบิกจ่ายดังกล่าว ทหารชั้นผู้น้อยที่มีรายชื่อก็ไม่เคยได้รับ ส่วนความผิดปกติต่อมาที่เขาพบคือ งบประมาณโครงการต่อต้านยาเสพติดในโรงเรียน ที่พบว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณ แต่ไม่มีการจัดงานจริงอีกเช่นกัน

 

นี่คือสิ่งที่เขาเปิดเผย และในเวลาต่อมา กองทัพบกได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่า มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง ทาง ผบ.ทบ. จึงมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อไป โดยส่งเรื่องต่อไปให้ ป.ป.ช. พิจารณา

 

 

วีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน นายประกันของ ส.อ. ณรงค์ชัย

 

 

ทหารชั้นผู้น้อยกับความคับแค้นใจที่สั่งสม

ส.อ. ณรงค์ชัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายสำนัก ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องถูกกลั่นแกล้ง ประกอบกับรายได้ของอาชีพที่ไม่ได้มากนัก จนบางครั้งเขาต้องขับแท็กซี่เพื่อหารายได้เสริม ทำให้หลายครั้งรวมแถวไม่ทัน จึงถูกจำหน่ายขาดแถว ซึ่งมีผลต่อการปรับตำแหน่ง จึงเป็นเสมือนปมในใจที่สั่งสมมา กระทั่งเขาเลือกที่จะยื่นเรื่องการทุจริตดังกล่าวให้กับผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบ

 

ครั้งหนึ่งเขาเคยนำธูปเทียนไปขอขมาผู้บังคับบัญชา แต่ในเวลาต่อมา ส.อ. ณรงค์ชัย ได้เปิดเผยต่อสื่อหลายสำนักว่ามีคำพูดที่ทำให้เขาไม่สบายใจ 

 

หากมองย้อนกลับไปถึงเหตุกราดยิงโคราช ซึ่งมูลเหตุจูงใจก็มาจากความคับแค้นใจในการถูกกระทำทั้งจากตัวบุคคลและโครงสร้างของระบบ จนทำให้ทหารผู้น้อยดังกล่าว เลือกหนทางที่จะจบปัญหาด้วยความรุนแรง และขยายความสูญเสียไปยังชีวิตอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความสูญเสียเป็นจำนวนมาก

 

สองเหตุการณ์ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ต่างแต่เพียงเกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ แต่สิ่งที่ชัดเจนจากทั้งสองเหตุการณ์นี้คือ ภาพชายสองคนที่ประกอบอาชีพทหาร เมื่อถูกเอารัดเอาเปรียบหรือถูกบีบให้ทำในสิ่งที่ที่ฝืนความรู้สึกตนเอง จึงสั่งสมและปะทุออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่รากเหง้าของปัญหานั้นเหมือนกัน

 

 

พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก แถลงหลังเกิดเหตุกราดยิงโคราช ประกาศ 90 วัน ปฏิรูปกองทัพ พร้อมเปิดสายตรง ผบ.ทบ.

 

 

กระบวนการร้องเรียนที่เขาผ่านมา

ส.อ. ณรงค์ชัย เลือกที่จะร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินในครั้งแรก แต่การร้องเรียนก็ไม่ได้มีความคืบหน้าใดๆ กระทั่ง พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้เปิดสายตรงถึงผู้บัญชาการทหารบก ภายหลังเกิดเหตุกราดยิงโคราช เขาจึงเลือกใช้ช่องทางนี้ในการร้องเรียนทุจริต และขอให้ระงับการสั่งจำขังเขา 

 

เมื่อการร้องเรียนยังไม่เป็นผล เขาจึงร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. พร้อมทั้งขอคุ้มครองพยาน จนเวลาล่วงเลยมากว่า 2 เดือน เขาถูกปลดจากราชการ จึงไม่สามารถคุ้มครองพยานโดยการโอนย้ายหน่วยงานได้อีก 

 

จากความพยายามหลายครั้งผ่านหลายช่องทาง ประกอบกับระยะเวลาที่ผ่านมาหลายเดือน แต่เรื่องที่เขาร้องเรียนไม่มีความคืบหน้า หนำซ้ำเขายังต้องประสบกับชะตากรรมที่อาจมีอันตรายเมื่อใกล้กำหนดจำขัง เขาจึงเลือกที่จะหนีจากราชการทหาร

 

“ผมรู้สึกผิดหวังครับ เพราะถ้าผมไม่เป็นข่าว พี่น้องสื่อมวลชนไม่ได้สร้างประเด็นนี้ขึ้นมา ถ้าเกิดเป็นประชาชนธรรมดา คนบ้านๆ ไม่มีเงิน ไม่มีแรงสนับสนุน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเขา” ส.อ. ณรงค์ชัย กล่าวขณะยื่นทวงถามการคุ้มครองพยานต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาจะทราบว่าได้ถูกปลดออกจากราชการทหารแล้ว

 

“ผบ.ทบ. นั้นออกมาบอกว่าผมไม่เคยร้องเรียนเลย แต่เมื่อผมใช้หลักฐานเอกสารมายืนยันว่าผมร้องเรียน จึงออกมายอมรับ นั่นเท่ากับว่าท่าน ผบ.ทบ. ไม่ยอมรับความจริงตั้งแต่แรก จนมีเอกสารหลักฐานท่านจึงจะยอมรับ”

 

ส.อ. ณรงค์ชัย กล่าวเกี่ยวกับปมปัญหาการโทรร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. ในงานเสวนา ‘เส้นทางปฏิรูปกองทัพ’ ที่จัดขึ้นหลังจากที่กองทัพบกออกมาแถลงชี้แจงเรื่องการดำเนินการในเรื่องที่เขาร้องเรียน 

 

ประชาชนที่มาให้กำลังใจ ส.อ. ณรงค์ชัย หน้าศาลทหาร เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน

 

 

ปฏิกิริยาสังคม-ฝ่ายค้าน

พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ออกมาแถลงในฐานะพรรคฝ่ายค้าน แสดงความกังวลและความเป็นห่วงต่อ ส.อ. ณรงค์ชัย ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลการทุจริตจนถูกดำเนินคดี พร้อมเน้นย้ำความสำคัญว่า ‘ภาษีของประชาชน ควรใช้ให้ถูกต้อง’

 

นอกจากนี้ ส.ส. ที่เคยสังกัดพรรคอนาคตใหม่ที่ในเวลาต่อมาได้ย้ายมาสังกัดพรรคก้าวไกล หลายคนพร้อมใจทวีตให้กำลังใจ ส.อ. ณรงค์ชัย 

 

ภาพที่ชัดเจนที่สุดคงเป็นการเดินเคียงข้างของ อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในวันที่ ส.อ. ณรงค์ชัย ต้องไปรายงานตัวที่ต้นสังกัด พิมพ์หลายนิ้วมือที่สถานีตำรวจ และขึ้นศาลทหาร

 

 

โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา คณะทำงานของกรรมาธิการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่เป็นมือประสานและให้ข่าวแก่สื่อมวลชน

 

 

 

กมธ. กฎหมายฯ-วีระ-โบว์ มือประสาน

ส.อ. ณรงค์ชัย ในฐานะทหารชั้นประทวนธรรมดาคนหนึ่ง กับการออกมาส่งเสียงถึงเรื่องราวของความไม่ถูกต้องเพียงคนเดียว เสียงของเขาอาจไม่ดังมากพอ

 

แต่ทว่าการใช้ช่องทางของกรรมาธิการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีคณะทำงานของกรรมาธิการอย่าง โบว์-ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม ซึ่งคอยติดต่อประสานงานและแถลงข่าวกับสื่อมวลชน เพื่อส่งความเคลื่อนไหวเป็นระยะ

 

มี วีระ สมความคิด ที่ชวนเขาไปร้องเรียนต่อประธานกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร

 

นอกจากนี้ยังมี รังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่เดินทางมาให้กำลังใจที่ศาลทหาร ในฐานะกรรมาธิการกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม 

 

คนเหล่านี้เมื่อผนวกรวมกับเสียงของประชาชนที่สนใจและตั้งคำถามต่อปมทุจริตที่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นเสียงที่ดังมากยิ่งขึ้น จนกองทัพต้องออกมาชี้แจง

 

แฮชแท็กในโซเชียลมีเดีย

#Saveหมู่อาร์ม คือแฮชแท็กที่เป็นเทรนด์ทวิตเตอร์ตั้งแต่ช่วงแรกที่เป็นข่าว และขึ้นเทรนด์ต่อเนื่องทุกครั้งที่มีข่าวสำคัญๆ เกี่ยวกับ ส.อ. ณรงค์ชัย โดยเนื้อหาของแฮชแท็กนี้มีทั้งการรายงานข่าว นำเสนอข้อมูลต่างๆ และให้กำลังใจ ส.อ. ณรงค์ชัย 

 

ขณะที่ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ทวิตเตอร์ในประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเทรนด์ในทวิตเตอร์ก็อาจกลายเป็นการกำหนดวาระทางสังคมอย่างหลายๆ กรณี เช่น กรณีการลงนาม CPTPP

 

ผบ.ทบ. แถลงข่าวพร้อมน้ำตา หลังเกิดเหตุกราดยิงโคราช

 

กองทัพว่าอย่างไร

โทษจำขังที่ ส.อ. ณรงค์ชัย ได้รับนั้น กองทัพบก (ทบ.) ชี้แจงว่า เป็นเรื่องที่ ส.อ. ณรงค์ชัย มีข้อพิพาทกับผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่เรื่องที่นำเรื่องทุจริตมาร้องเรียน ซึ่งทางกองทัพบกเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการตรวจสอบและพบการทุจริตจริง จึงส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. แล้ว 

 

ส่วนเรื่องการถูกข่มขู่ หากมีหลักฐานองค์ประกอบหรือถูกกระทำก็สามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองปกติได้ น่าจะเหมาะสมที่สุด 

 

กองทัพบกยืนยันว่า การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ยังคงเป็นเรื่องที่ดีทั้งต่อกองทัพบกและสังคมไทย เหมือนกับกำลังพลอีกจำนวนหลายร้อยคน เช่น ผู้ที่ให้ข้อมูลมายังกองทัพบกผ่านสายตรง ผบ.ทบ. หรือให้ข้อมูลมายังหน่วยงานที่มีหน้าที่ของ ทบ. เพื่อให้ ทบ. ดำเนินการแก้ไขให้ทุกเรื่องราวเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม

 

 

กราดยิงโคราชถึงหมู่อาร์ม เส้นทางปฏิรูปกองทัพที่ยังคงถูกถาม

ผ่านไป 3 วัน หลังเกิดเหตุกราดยิงโคราช พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาแถลงและส่งสัญญาณว่า จะปฏิรูปกองทัพภายใน 90 วัน สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับโครงสร้างสังคมไทย

 

พร้อมการจับตาดูผลการปฏิรูปที่ ผบ.ทบ. ได้สัญญาในวันนั้น อีกทั้งยังเปิดสายตรง ผบ.ทบ. เพื่อให้กำลังพลสามารถร้องเรียนเรื่องต่างๆ ได้โดยตรง ภายใต้สโลแกน ‘ทุกเรื่องคือความลับ ทุกเรื่องถึง ผบ.ทบ.’

 

ข้อเท็จจริงที่สาธารณชนรับรู้ กองทัพบกนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่กองทัพ แต่ยังมีธุรกิจอีกมากมายที่สร้างรายได้ให้แก่กองทัพ อย่างธุรกิจสนามม้า สนามมวย สถานีโทรทัศน์และวิทยุ ทั้งที่ทำเองและให้สัมปทานเอกชน รายได้เหล่านี้นำไปสู่การตั้งคำถามของสังคมตามมา

 

การเปิดสายตรงร้องเรียนเรื่องต่างๆ ได้โดยตรงต่อ ผบ.ทบ. ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผลมากนัก เพราะ ส.อ. ณรงค์ชัย ก็พยาพยามใช้ช่องทางนี้ร้องเรียนมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะดำเนินการอะไรได้มาก 

 

ส.อ. ณรงค์ชัย ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า การร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ. ยังเปรียบเสมือนการฆ่าตัวตาย เพราะทุกเรื่องที่ร้องเรียนต้องบอกชื่อ ยศ ตำแหน่ง ซึ่งเขารู้สึกว่ามีความเสี่ยงต่อผู้ร้องเรียน

 

ครบ 90 วัน หลังคำมั่นสัญญาของ พล.อ. อภิรัชต์ กับการปฏิรูปกองทัพ หลายคนออกมาทวงสัญญาการปฏิรูปกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นบ้านพักนายพลที่เกษียณไปแล้ว เรื่องธุรกิจต่างๆ ที่จะให้เอกชนมาบริหาร แล้วนำรายได้เข้าคลัง หรือแม้แต่เรื่องเชิงโครงสร้างอย่างการปรับอัตรากำลังพล ปรับลดงบประมาณซื้ออาวุธ

 

 

เศษดอกกุหลาบที่ประชาชนมอบให้ ส.อ. ณรงค์ชัย ตกอยู่หน้าศาลทหาร

 

 

เมื่องานไม่มี แต่คดียังคงต้องสู้ต่อไป 

“ยังหางานทำอยู่ หางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเองไป” ส.อ. ณรงค์ชัย เปิดเผยถึงอนาคตของตัวเขา หลังได้รับการอนุมัติปล่อยตัวชั่วคราวจากศาลทหารเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน แน่นอนว่าการปลดออกจากราชการที่มาพร้อมคดีความ ทำให้เส้นทางชีวิตของเขาหลังจากนี้ดูไม่ง่ายนัก 

 

สิ่งแรกที่เขาต้องพบเจอหลังโดนปลดออกจากราชการคือคดีความ ซึ่งอาจมีโทษจำคุก ขณะที่การได้รับการปล่อยชั่วคราวหมายถึงอิสรภาพที่ต้องเผชิญกับชีวิตประจำวันที่ต้องหวาดระแวง 

 

ชีวิตของทหารชั้นประทวนที่เลือกต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง สังคมส่วนหนึ่งตั้งคำถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ส.อ. ณรงค์ชัย นั้นใช่สิ่งที่สมควรแล้วหรือไม่

 

ทหารชั้นประทวนที่ต้องต่อสู้กับระบบที่ใหญ่เกินตัวเขา มีผู้เปรียบเปรยว่า นี่คือการ ‘เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงกองทัพ’ เพราะการออกมาเปิดโปงเรื่องการทุจริตเบี้ยเลี้ยง จนทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมายอมรับว่าการทุจริตนั้นมีมูลจริง นี่อาจเป็นการทำหน้าที่ของทหารที่คุ้มค่าที่สุดเท่าที่ทหารคนหนึ่งจะทำได้

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising