×

ผู้เชี่ยวชาญมองปมนักการเมืองคุกคามทางเพศ ปัดความรับผิดชอบ อุ้มพรรคพวกจนกว่าจะจนมุม

โดย THE STANDARD TEAM
06.11.2023
  • LOADING...

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เวลา 13.00-15.00 น. ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมร่วมกันจัดเสวนา ‘ก้าวแรกสู่การสร้างสถานที่ทำงานที่ไม่เพิกเฉยต่อการคุกคามทางเพศ’ โดยถือเป็นกิจกรรมแรกของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีสากล

 

สำหรับภาคประชาสังคม ได้แก่ The Publisher, Thaiconsent, SHero, Social Equality Promotion Foundation, ACWC Thailand for Women’s Rights และ Nabi Fellows

 

ผู้จัดกิจกรรมระบุถึงเป้าหมายของงานเสวนานี้ว่า เป็นการตอบสนองประเด็นเร่งด่วนจากการร้องเรียนกรณีคุกคามทางเพศในที่ทำงานที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อบ่อยครั้งในปีนี้ โดยยังไม่นำพามาซึ่งมาตรฐานอย่างที่ ‘ควรจะเป็น’ และทวีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อที่ทำงานดังกล่าวเป็นพื้นที่ของงานทางการเมือง

 

“วัตถุประสงค์ของกิจกรรมดังกล่าวคือ การเชิญชวนผู้ที่สนใจในประเด็นและต้องการเสนอแนวทางในการยกระดับความปลอดภัยทางเพศในที่ทำงาน ทั้งบุคคลทั่วไป นักเรียน นักศึกษา นักการเมือง สื่อมวลชน นักกิจกรรม และศิลปิน มาร่วมทำความเข้าใจ เสนอแนวทางหรือประสบการณ์ รวมถึงแสดงพลังร่วมกัน เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณะต่อไป”

 

สำหรับผู้ร่วมเสวนา ประกอบด้วย

 

  1. บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ผู้ก่อตั้ง SHero Thailand
  2. สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม และผู้เชี่ยวชาญด้านปัญหาทางเพศ
  3. รัชดา ไชยคุปต์ ผู้แทนไทยด้านสิทธิสตรีในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC Thailand for Women’s Rights)
  4. พลตรี วันชนะ สวัสดี
  5. วิภาพรรณ วงษ์สว่าง ผู้ก่อตั้ง Thaiconsent เป็นผู้ดำเนินรายการ 

 

การเสวนาใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง 30 นาที ในการพูดถึงประเด็นต่างๆ หลายประเด็น โดยหนึ่งในประเด็นที่มีผู้คนให้ความสนใจคือ กรณีการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นในพื้นที่งานทางการเมือง 

 

สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม เล่าถึงประสบการณ์ในการต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีมาตั้งแต่ปี 2519 โดยกล่าวว่า ตั้งแต่ทำงานในด้านนี้มาตนได้รับมือกับกรณีที่ผู้กระทำเป็นคนมีฐานะ มีอำนาจ มีตำแหน่ง หรือมีภาพลักษณ์ที่ดีเป็นที่ประจักษ์ในทางสาธารณะ ทั้งผู้กระทำที่เป็นทหาร ตำรวจ นักบวช และนักการเมือง โดยจากประสบการณ์ ภาพลักษณ์ดังกล่าวไม่ใช่เครื่องการันตีว่าตัวตนที่น่านับถือของเขาจะเป็นตัวตนเดียวกันกับตอนที่มีโอกาสลงมือ

 

“หากจะกล่าวว่าอารมณ์ทางเพศควบคุมไม่ได้ โดยเฉพาะในตอนที่ไปปาร์ตี้ รู้สึกมึนเมา ขอถามหน่อยว่าสมมติถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนที่ออกจากปาร์ตี้มา ถ้าเขาเห็นป้าขายไก่ย่างหน้าผับเป็นคนแรก เขาจะพุ่งหาป้าขายไก่ย่างเลยหรือไม่?

 

“ที่จริงผู้กระทำเขามีสติมากพอที่จะเลือกเหยื่อที่หมายตา โดยจะเล็งหรือเลือกมาก่อน หรือสร้างสถานการณ์ที่ปูทางไปสู่การฉวยโอกาสให้เกิดขึ้นได้ ที่จริงแล้วผู้กระทำในลักษณะนี้เขาคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีว่าจะทำกับใคร ในพื้นที่ไหน ในสถานการณ์ใด และในรูปแบบใด ที่ตนเองทำแล้วมีโอกาสรอดหรือพอรับมือได้ โดยเลือกทำในสิ่งที่ไม่ทิ้งพยานและหลักฐาน”

 

สุเพ็ญศรียังกล่าวว่า หนึ่งในการสร้างสถานการณ์ หรือหนึ่งในการฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่ผู้ถูกกระทำปฏิเสธได้ยาก หรือยากที่จะปฏิเสธสำเร็จ เป็นโอกาสที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางการทำงานเพราะเป็นสถานการณ์ที่ตัดสินใจได้ยาก เพราะผู้ถูกกระทำต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อความสัมพันธ์กับคนอื่นในที่ทำงาน หรือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อต้องร้องเรียนนายจ้าง รุ่นพี่ หรือคนที่มีอำนาจหรือชื่อเสียงทางสังคมมากกว่า

 

ขณะที่ บุษยาภา ศรีสมพงษ์ ผู้ก่อตั้งองค์กร SHero ยังได้เสริมถึงมายาคติที่เป็นปัจจัยหนุนเสริมที่เอื้อให้ผู้กระทำกล้าลงมือ ด้วยเชื่อว่า หากลงมือแล้วอย่างไรก็มีช่องว่างที่จะทำให้เหยื่อไม่เข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

 

“สังคมเรายังคาดหวังว่าผู้เสียหายจะต้องเป็นคนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และต้องต่อสู้กับสิ่งที่เรียกว่าความน่าเชื่อถือ ซึ่งมักถูกทวงถามจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน ทั้งที่ในความเป็นจริงจะมีผู้ถูกกระทำสักกี่คนที่ถูกละเมิดแล้วรีบเก็บ DNA หรือเก็บหลักฐานทางชีวภาพต่างๆ แล้วเข้าไปแจ้งความในทันที

 

“เพราะอันที่จริงแล้วกลไกทางจิตวิทยาของคนเราเมื่อเข้าสู่โหมดป้องกันตนเองจากความทรงจำที่เจ็บปวด (Trauma) มันไม่ได้มีแค่การสู้หรือหนี (Fight or Flight) แต่ยังมีการหยุดนิ่ง (Freezing หรือ Tonic Immobility) ทำให้คนจำนวนมากเริ่มขอความช่วยเหลือหลังจากเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือเป็นปี” 

 

นอกจากนี้ วิภาพรรณ วงษ์สว่าง ผู้ก่อตั้ง Thaiconsent ยังตั้งคำถามกับบทบาทของสื่อที่เอาวิธีคิดของข่าวทั่วไปมาใช้กับประเด็นคุกคามทางเพศ โดยนักข่าวเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวจากทั้งสองฝั่งอย่างละเอียด เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอต่อสาธารณชนในการเลือกเชียร์หรือเลือกแช่ง 

 

“การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ชมในลักษณะนี้จึงไม่ต่างจากมหรสพในรูปแบบการนำเสนอข่าว ที่เป็นทั้งการละเมิดซ้ำ การแสวงหาผลประโยชน์จากสถานการณ์ และในหลายครั้งก็เป็นเครื่องมือฟอกขาวให้กับผู้กระทำที่มีความคุ้นเคยกับการใช้พื้นที่สื่อ และใช้โอกาสที่สาธารณชนขุดคุ้ยเรื่องราวของผู้ถูกกระทำมาเป็นหนทางในการบั่นทอนกำลังให้ผู้ที่คิดจะสู้ถอนใจไปเอง”

 

สุเพ็ญศรียังได้ตอบกลับคำถามของผู้ชมที่ถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับความเห็นสาธารณะที่มองว่า ประเด็นคุกคามทางเพศอาจเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือมองว่าเราควรให้โอกาสคนที่ทำงานได้ดีกลับตัวและปรับพฤติกรรม 

 

“การเมืองที่มีแน่ๆ ในเรื่องนี้คือการเมืองของคนที่โอบอุ้มพรรคพวกของตัวเอง ด้วยข้ออ้างต่างๆ ที่นำไปสู่การปฏิเสธความรับผิดชอบ ก็คงอุ้มกันจนกว่าจะจนมุม” 

 

สุเพ็ญศรีระบุว่า มุมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงท่าทีของประชาชนที่เสนอให้ไปร้องต่อ กกต. เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของ สส. ซึ่ง กกต. ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในส่วนนี้ หรือคำแนะนำให้ไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญที่ส่วนหนึ่งมีประชาชนกังขาถึงความละเอียดอ่อนในประเด็นทางเพศ ซึ่งสุเพ็ญศรีมองว่า มุมที่ว่าธรรมดากว่านั้นคือกฎหมายอาญา และกฎหมายแรงงาน เป็นกลไกสำคัญที่ถูกนำมาพูดถึงน้อยอย่างมีนัยสำคัญ

 

ผู้เข้าร่วมการเสวนายังเสนอแนวทางการสร้างความร่วมมือแบบเร่งด่วน และเตรียมตัวผลักดันประเด็นการพูดคุยในวันนี้สู่การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยในเบื้องต้นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเรื่องการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมและการเยียวยา สามารถประสานงานได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของ The Publisher ที่มีความตั้งใจจะร่วมผลักดันประเด็นดังกล่าวในฐานะของสื่อมวลชน

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising