×

EXCLUSIVE: วิเคราะห์โอกาสรอด ‘ช่อง JKN18’ หลัง ‘แอน จักรพงษ์’ จับมือ TOP NEWS มุ่งขยายฐานแฟนคลับ แต่อาจไม่ง่าย! เพราะธุรกิจทีวีดิจิทัลอยู่ในช่วงขาลง

12.09.2023
  • LOADING...
แอน จักรพงษ์

จากนี้ช่อง JKN18 จะฝ่าฟันความท้าทายของธุรกิจทีวีดิจิทัลได้หรือไม่? หลังพฤติกรรมคนเปลี่ยนกดรีโมตดูทีวีน้อยลงไปทุกวัน กลายเป็นโจทย์หินของ ‘แอน จักรพงษ์’ หลังซื้อกิจการช่อง NEW18 เปลี่ยนมาเป็น JKN18 แต่กระแสกลับไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงหาโอกาสรอด ด้วยการจับมือกับ TOP NEWS หวังขยายฐานแฟนคลับ 

 

ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ที่ ‘แอน จักรพงษ์’ กำลังเร่งหาทางออกและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และทางรอดหนึ่งในนั้นอาจเป็นการร่วมมือกับ TOP NEWS ที่ประกาศว่าจะผลิตรายการข่าว-บันเทิง-ละคร เพื่อเพิ่มกลุ่มคนดูมากขึ้น 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI GROUP วิเคราะห์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า การที่ JKN ออกมาประกาศจับมือกับ TOP NEWS ร่วมกันผลิตรายการข่าวนั้น มีเป้าหมายเพื่อยกระดับช่องตัวเองเข้ามาอยู่ในช่องหลัก เพื่อขยายฐานคนดูมากขึ้น เพราะช่อง TOP NEWS จะเด่นเรื่องข่าวการเมือง มีฐานคนรับชมต่อเนื่อง หรือเรียกได้ว่าเป็นแฟนคลับประจำ 

 

อีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเจรจาเรื่องดีลราคาได้ค่อนข้างดี ซึ่งคาดการณ์ว่าเหตุผลเดียวคือทั้งสองฝั่งต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน อีกคนต้องการเงินทุน และอีกคนต้องการให้ธุรกิจไปต่อได้ 

 

หากวิเคราะห์จุดอ่อนของช่อง JKN จะพบว่า คอนเทนต์ข่าวอาจไม่ได้รับการตอบรับมากนักแม้จะเน้นข่าวเศรษฐกิจจากการจับมือกับช่อง CNBC แต่ในความเป็นจริงส่วนใหญ่จะเด่นเรื่องการถ่ายทอดสดการประกวด Miss Universe ซึ่งเรตติ้งจะขึ้นเฉพาะช่วงเวลาประกวดระยะสั้น ขณะที่โฮมช้อปปิ้งขายสินค้าก็จะมีเพียงลูกค้าบางกลุ่มที่ให้การตอบรับ ซึ่งโดยรวมแล้วไม่ได้ทำให้ช่องมีฐานแฟนคลับประจำเพิ่มขึ้น

 

“สะท้อนให้เห็นว่าการมีผังรายการขายสินค้าถี่จนเกินไป ทำให้คนดูเบื่อได้ ดังนั้นในมุมของผู้ผลิตจะต้องหาจุดสมดุล เช่น ช่วง Prime Time ก็ต้องหาคอนเทนต์อื่นมาแทนการขายสินค้า” 

 

ถึงกระนั้น การเข้ามาร่วมมือกันระหว่าง JKN และ TOP NEWS จะช่วยเรียกเรตติ้งได้มากน้อยแค่ไหนยังไม่สามารถประเมินได้ แต่ถือว่าค่อนข้างยาก เนื่องจากเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคเสพสื่อทีวีลดลงทุกวัน และเลือกดูเฉพาะรายการที่ตัวเองสนใจเท่านั้น 

 

หากย้อนดูรายการที่ขับเคลื่อนสื่อทีวีในปีนี้มีแค่รายการวิเคราะห์ข่าวในช่วง Prime Time และละคร ส่วนรายการอื่นๆ ได้ถูกโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มสตรีมมิงดิสรัปต์ไปแล้ว 

 

ความท้าทายทั้งหมดไม่ได้กระทบแค่ JKN หรือ TOP NEWS แต่รวมไปถึงรายการข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ ที่จัดโดย สรยุทธ สุทัศนะจินดา หากเราสังเกตจะเห็นว่ากระแสมาเป็นบางช่วง เช่น ช่วงการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นก็เริ่มลดลง และที่สำคัญคนก็หันไปรับชมทางช่องทางออนไลน์อย่าง Facebook และ X แทน 

 

บริบททั้งหมดส่งผลให้ภาพรวมการใช้เม็ดเงินสื่อโฆษณาลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2565 เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวี ทั้งปีอยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านบาท หดตัวลงเกือบครึ่งภายในเวลา 7 ปี

 

โดยปี 2558 การใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านบาท ส่วนปีนี้คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยราว 1% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา 

 

ทำให้เห็นว่าการกลับมารายงานข่าวของสรยุทธไม่ได้กระตุ้นการใช้เม็ดเงินให้เติบโตขึ้นได้ เพียงแต่เม็ดเงินการใช้โฆษณาที่เคยกระจายไปรายการข่าวอื่นๆ ก็หันมาเทให้กับรายการของสรยุทธมากขึ้น 

 

“ในขณะที่เม็ดเงินการใช้สื่อโฆษณาลดลงเรื่อยๆ แต่ดิจิทัลทีวีกลับมีกว่า 24 ช่อง แต่ช่องที่ได้เปรียบคือช่องเบอร์ใหญ่ ได้แก่ ช่อง 3, ช่อง 7, ช่อง one 31 และอมรินทร์ทีวี 34HD ที่มีฐานแฟนคลับประจำ และวันนี้ไม่ได้แข่งขันแค่ช่องทีวีด้วยกันเอง แต่ต้องแข่งกับพฤติกรรมผู้บริโภค ที่หันไปดูผ่านออนไลน์ เช่น Facebook และ TikTok มากกว่า ปัจจัยเหล่านี้เป็นทางเลือกให้แบรนด์หันไปใช้งบโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์แทน” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MI GROUP ย้ำ

 

หากย้อนกลับไปในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ‘แอน จักรพงษ์’ ได้บอกกับสื่อว่า ในปี 2566 บริษัทจะทำรายได้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งกลุ่มอยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 40% หลังจากนั้นก็เริ่มมีข่าวออกมาว่าไม่สามารถชำระหุ้นกู้ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด ก่อนจะมีข่าวขายช่อง JKN ให้กับ TOP NEWS มูลค่า 500 ล้านบาท

 

ขณะที่ในมุมนักวิชาการ โดย รศ.ดร.สมชาย สุภัทรกุล คณบดีคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ถอดบทเรียน JKN กับ THE STANDARD WEALTH ว่า หากดูที่งบกระแสเงินสดของ JKN ในช่วงปี 2562 ถึงไตรมาส 2 ปี 2566 มีการลงทุนจำนวนมากต่อเนื่อง สะท้อนว่าบริษัทกำลังอยู่ในช่วงการสร้างการเติบโต แต่จากการลงทุนที่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก 

 

ส่งผลให้บริษัทมีเงินสดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานไม่พอรองรับการลงทุนของบริษัท ซึ่งจะเห็นว่าในไตรมาส 2/66 บริษัทมีการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ส่งผลให้งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุนติดลบ 1,589 ล้านบาท ขณะที่งบกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานจะเป็นบวกที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับใช้รองรับการลงทุนในไตรมาส 2/66 ดังนั้นบริษัทมีความจำเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินทุนจากภายนอกเพื่อนำมาใช้ในการขยายธุรกิจด้วย

 

นับเป็นที่น่าจับตาว่าอนาคตธุรกิจที่อยู่ในเงื้อมมือ ‘แอน จักรพงษ์’ ทั้งช่อง JKN และ Miss Universe จะเดินหน้าไปในทิศทางไหนต่อไปในวันที่มรสุมพัดเข้ามาในทุกช่องทาง

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

X
Close Advertising