สรรพสามิตคาดเก็บรายได้ตามเป้า เล็งปูทางดันไทยขึ้นฮับ Classic Car Restoration เตรียมเปิดทาง คราฟต์เบียร์ บรรจุ Keg ขายนอกโรงเบียร์ได้ธันวาคมนี้ ยันภาษียาสูบเก็บ Double Tier ต่อไป
กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ตลอด 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 67 – ส.ค. 68) กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 489,564.14 ล้านบาท นับเป็นผลงานที่เติบโตจากปีก่อน 1.61% YOY
สำหรับภาพรวมตลอดปีงบประมาณ 2568 กรมสรรพสามิตคาดการณ์ว่าจะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย 535,000 ล้านบาท หรือเติบโต 2.17% YOY ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกปรับลดลงเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จากเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ในเอกสารงบประมาณ 609,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กุลยาได้เน้นย้ำถึงบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของกรมสรรพสามิตในด้านการจัดเก็บรายได้ โดยระบุว่า กรมสรรพสามิตเป็นกรมสำคัญอันดับ 2 ของกระทรวงการคลัง ด้วยเป้าหมายรายได้ในกรอบ 500,000-600,000 ล้านบาท ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีขนาดใกล้เคียงงบการลงทุนของประเทศ หรือเทียบเท่าการกู้เงินของประเทศ
ดันไทยขึ้นฮับ Classic Car Restoration
สำหรับการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตยานยนต์โบราณเป็น 45% โดยไม่เรียกเก็บในพิกัดศุลกากร เบื้องต้นคาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้สรรพสามิต 1,000-2,000 ล้านบาท และต่อยอดจนพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมบูรณะ (Restoration) รถยนต์โบราณ
โดยหลักเกณฑ์เบื้องต้น จะต้องเป็นรถยนต์โบราณ (Classic Car) นำเข้า ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป และได้รับการตรวจโดยหน่วยงานต่างประเทศว่ายังสามารถวิ่งได้ ซึ่งจะได้รับทะเบียนรถยนต์พิเศษจากกรมขนส่งทางบกที่มีพื้นดำ อักษรขาว ที่วิ่งได้เฉพาะวันหยุดและวันนักขัตฤกษ์เท่านั้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตในกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ สรรพสามิตเล็งเห็นภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆ และตลาดใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยไม่รบกวนตลาดรถยนต์นั่งเดิม เนื่องจากรถยนต์ดังกล่าวมีต้นทุนการซ่อมบำรุงที่สูง จึงหวังว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถยกระดับ อุตสาหกรรมบูรณะรถยนต์โบราณของไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางของเอเชีย
เตรียมเปิดทาง คราฟต์เบียร์ บรรจุ Keg ขายนอกโรงเบียร์ได้ธันวาคมนี้
สำหรับมาตรการส่งเสริม ‘สุราชุมชน’ เพื่อต่อยอดนโยบาย ‘Soft Power’ ของไทย ด้านกรมสรรพสามิต ได้เตรียมอนุญาตให้ผู้ประกอบการสุราท้องถิ่นสามารถบรรจุเบียร์สดใส่ถัง Keg ไว้ขายนอกโรงงานได้ภายในเดือนธันวาคมนี้
ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการสุราชุมชนในระบบกว่า 1,824 ราย เพิ่มขึ้น 5% YOY และช่วยให้สรรพสามิตจัดเก็บภาษีสุราชุมชนได้ 1,246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% YOY
ภาษีหวาน-เค็ม ต้องศึกษาต่อ
สำหรับภาษีความหวานในระยะที่ 4 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยนำร่องในผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาล สรรพสามิตคาดว่าจะช่วยจูงใจให้ภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรการผลิต และช่วยให้ผู้บริโภคปรับพฤติกรรมสุขภาพมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องดื่มที่ได้รับเครื่องหมาย Healthier Choice แล้ว 3,411 รายการ
อย่างไรก็ตาม สรรพสามิตชี้แจงว่านโยบายดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพิ่มเติม เนื่องจากภาคเอกชนร้องเรียนถึงความไม่เป็นธรรม โดย เครื่องดื่มซึ่งมีน้ำตาลสูงตามธรรมชาติแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น น้ำผลไม้ ถูกเรียกเก็บภาษีความหวานแพงกว่า ขณะที่เครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่ถูกเรียกเก็บภาษีความหวานเลย
ทั้งนี้ สรรพสามิตชี้แจงว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษามาตรการดังกล่าว โดยเน้นย้ำว่า นโยบายมีจุดประสงค์เพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาล ซึ่งอาจต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ เพราะมีผู้ได้รับผลกระทบในหลายภาคส่วน
เช่นเดียวกับภาษีความเค็มที่ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับพฤติกรรมผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ประกอบการและประชาชนในประเทศ
ภาษียาสูบเก็บ Double Tier ต่อไป
กุลยายอมรับว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบเป็นสินค้าเพียงชนิดเดียวที่กรมสรรพสามิตเรียกเก็บภาษีได้น้อยลง 5 ปีติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งกุลยายืนยันว่า ไทยจะยังคงใช้มาตรฐานการเก็บภาษีบุหรี่ แบบ Double Tier ต่อไป ต่างจากสากลที่ Single Tier โดยระหว่างนี้จะมีการศึกษาเพื่อคำนึงถึงรายได้ภาษีที่จะลดลง รวมถึงการกำกับดูแลการลักลอบนำเข้าบุหรี่เถื่อนต่อไป
ทั้งนี้ ไทยมีการจัดเก็บภาษีแบบผสม (Compound Rate) โดยเก็บภาษีตามปริมาณ (Specific Rate) มวนละ 1.20 บาท และจัดเก็บภาษีตามมูลค่า (Ad Valorem Rate) แบ่งเป็น 25% หากต่ำกว่าเกณฑ์ราคาที่ 72 บาท และ 42% หากสูงกว่า ซึ่งมีปัญหาทำให้ยาสูบในตลาด
SMART Excise สำเร็จ ช่วยเก็บภาษีตรงเป้า
ภายใต้ยุทธศาสตร์ SMART Excise นับเป็นแรงหนุนสำคัญที่ช่วยให้กรมสรรพสามิตสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มจากปีก่อน ซึ่งกรมสรรพสามิตอาศัยมาตรการเชิงรุกต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้
ปรับโครงสร้างภาษีน้ำมัน: ปรับขึ้นภาษีกลุ่มน้ำมันเบนซินและกลุ่มน้ำมันดีเซล 1 บาทต่อลิตร โดยไม่กระทบราคาขายปลีก เนื่องจากมีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมัน ทำให้กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น ราว 2,800 ล้านบาท
ขยายเวลาลดอัตราภาษีสถานบริการ: ลดอัตราภาษีสถานบริการเหลือ 5% จาก 10% ต่อไปอีกจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ทำให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบสรรพสามิตเพิ่มขึ้น และยังจัดเก็บรายได้ภาษีสถานบริการเพิ่มขึ้นเช่นกัน เป็น 199.73 ล้านบาทในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบฯ 68 (ต.ค. 67 – ส.ค. 68) เมื่อเทียบกับปีงบฯ 67 ซึ่งเก็บได้ทั้งปีที่ 182.5 ล้านบาท
เพิ่มประสิทธิภาพปราบปรามสินค้าหนีภาษี: มีการปรับใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ Dashboard เพื่อยกระดับการปราบปรามลักลอบขนส่งสินค้า รวมถึงลงนาม MOU กับ ขนส่งภาคเอกชน เช่น J&T และ KEX ซึ่งช่วยให้ตลอด 11 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 สามารถจับกุมและดำเนินคดีได้เพิ่มขึ้น 8.69% YOY คิดเป็น 33,766 คดี สูงกว่าเป้าหมาย 37.33% สามารถนำเงินส่งคลังได้ 497.95 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 27.74%
มาตรการอุดหนุน-เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน ท้าทายรายรับภาษี
อย่างไรก็ตาม ด้วยความท้าทายทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนมากขึ้นทั่วโลก ทำให้อุปสงค์ผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างชัดเจน และกระทบต่อสินค้าในพิกัดภาษีสรรพสามิตด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณการบริโภคลดน้อยลงอย่างมาก เนื่องจากไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาน้อยลง
นอกจากนี้ ด้วยมาตรการสนับสนุนรถยนต์ EV ทำให้รายได้การจัดเก็บภาษีรถยนต์โดยรวมลดลงด้วยเช่นกัน ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มโครงการในเดือนมีนาคม 2565 จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าสะสมแล้ว จำนวน 232,802 คัน และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสะสม 71,667 คัน
สุดท้ายนี้ สรรพสามิตอยู่ระหว่างการเตรียมการ ยื่นข้อเสนอยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีบางรายการ หรือมาตรการละเว้นภาษีบางส่วน เพื่อเพิ่มการจัดเก็บรายได้ภาษีในอนาคต