ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวน หลายธุรกิจเผชิญกับความท้าทายในการรักษาเสถียรภาพการเติบโต ทว่าในวิกฤตเช่นนี้กลับมีหนึ่งอุตสาหกรรมที่ยังสามารถยืนหยัดได้ นั่นคือ ‘ธุรกิจความงาม’
แม้ผู้บริโภคจะลดการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าอื่น แต่ยังใช้เงินกับการซื้อสินค้าสุขภาพและความงาม เรียกได้ว่าในปีนี้ยังคงเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมความงามไทยเลยก็ว่าได้
สะท้อนจากข้อมูลสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ระบุว่า ในปี 2567 ตลาดความงามไทยมีมูลค่าสูงถึง 2.81 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 10.4% ส่วนไตรมาสแรกของปี 2568 เติบโตตามเป้าที่ 30%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- EVEANDBOY เปิดตัว Kylie Cosmetics เอาใจสาวกเมกอัพ
- ‘อีฟแอนด์บอย’ ทุ่ม 200 ล้าน ทำแคมเปญใหญ่
- ความอัดอั้นเป็นเหตุ! นักช้อปจีนควักกระเป๋าซื้อนาฬิกา-เครื่องสำอาง
โดยปัจจัยหนุนที่ทำให้มีแนวโน้มเติบโตมาจากช่องทางขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่ยังโตแรง รวมถึงความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทยโดยเฉพาะกลุ่มสินค้า SMEs ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่นเดียวกับ EVEANDBOY ร้านบิวตี้สโตร์โดย หิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาได้ลอนช์สินค้าใหม่ค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องสำอาง ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น รวมถึงการเน้นสื่อสารบนช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็ว
โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษาและพนักงานออฟฟิศ ถือเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของเราที่มีอัตราการเติบโตสูงและยังพบว่ากลุ่มที่มีอัตราการซื้อซ้ำและมี Loyalty ที่เหนียวแน่น
ทำให้ในปี 2567 มีการเติบโตมากถึง 40% หรือคิดเป็นมูลค่า 7,000 ล้านบาท ถือว่าสูงเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ มองว่าการเติบโตมาจากการขยายสาขาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
รวมถึงการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด สร้างภาพลักษณ์ร้านให้เป็นรีเทลที่มีวาไรตี้มากสุด ด้วยขนาดร้านใหญ่ 2000 ตารางเมตร มีโปรดักต์ความงามและสุขภาพราคาเริ่มตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหมื่น ควบคู่กับการจัดโปรโมชันอยู่เป็นระยะๆ
พร้อมย้ำต่อว่าอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ทำให้ร้านเราต่างจากร้านคู่แข่ง คือร้านมีแบรนด์ Exclusive ที่ได้คอลแลบกับหลายๆ แบรนด์ดัง พัฒนาโปรดักต์ขึ้นมาขายเฉพาะที่ EVEANDBOY เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น Kylie Cosmetics ที่ได้การตอบรับอย่างดี กระทั่งได้ต่อสัญญาในฐานะ Exclusive Brand ต่อเนื่องเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเจาะลึกมาดูกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอาง (Makeup) โตมากถึง 45% ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skincare) 40% และกลุ่มน้ำหอม (Fragrance) 35% ก็ยังมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง
เรียกได้ว่าตลาดบิวตี้เมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตสูง ด้วยขนาดตลาดที่ยังเล็ก หากเทียบประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีที่ใหญ่กว่า 4 เท่า ดังนั้นกลยุทธ์ของ EVEANDBOY นอกจากการเพิ่ม Exclusive Brand เข้ามาเสริมทัพแล้ว ปีนี้จะมีการลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่ม 25 สาขา โดยคาดว่าสิ้นปี 2568 จะมีสาขารวมทั้งหมด 65 สาขา และภายในปี 2571 จะมีร้านทั้งหมด 140 สาขา เน้นเปิดในพื้นที่ที่มีศักยภาพเป็น Strategic Location ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว Loyalty Program รูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ Ebbie Card ซึ่งจะช่วยให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าที่มีสมาชิก 2.7 ล้านคนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรวมแล้วในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าเติบโตจากปีก่อนหน้า 30%
อีกหนึ่งเทรนด์ความงามที่น่าสนใจในปีนี้ จะเห็นว่าพฤติกรรมการซื้อเปลี่ยนไป ลูกค้าเบื่อง่ายขึ้น ในอดีตการลอนช์สินค้าคอลเล็กชันหนึ่งจะวางอยู่ 6 เดือน ตอนนี้อยู่ได้แค่ 3 เดือนก็ต้องเปลี่ยน ถึงอย่างไรแล้วธุรกิจนี้เป็นธุรกิจเฉพาะตัว ลูกค้าไม่ได้เน้นซื้อแต่สินค้าราคาถูกแต่มีเรื่องของไลฟ์สไตล์เข้ามาเกี่ยวด้วย
“และที่เห็นการเปลี่ยนแปลงคือในปีนี้แบรนด์ไทยมีศักยภาพการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากปัจจุบันคนไทยหันมาใช้แบรนด์ไทยมากขึ้น โดยไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องยี่ห้ออีกต่อไปขอแค่คุณภาพสินค้าดีก็พอ จึงเป็นโอกาสทองของเจ้าของแบรนด์คนไทยในปีนี้” หิรัญย้ำ