ราฮีม สเตอร์ลิง เป็นนักฟุตบอลที่เป็นจุดสนใจของผู้คนเสมอ – ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ล่าสุดคือกรณีการที่มีส่วนสำคัญกับการคว้าชัยชนะของทีมชาติอังกฤษในเกมรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโร 2020 เมื่อเขาเป็นผู้ที่เรียกลูกจุดโทษให้แก่ทีมได้ในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ จากจังหวะที่พยายามพาบอลแหวกฝ่าเข้าไปและถูกแซะให้ล้มลง
ผู้ที่เป่านกหวีดให้จังหวะนี้เป็นการทำฟาวล์ของเดนมาร์กและเป็นลูกจุดโทษคือผู้ตัดสิน แดนนี แม็กเคลี ชาวเนเธอร์แลนด์ แต่ผู้ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กลับไม่ใช่ผู้ตัดสิน เพราะคนที่ถูกพูดถึงจากแฟนฟุตบอลทั่วโลกที่ไม่ใช่แฟนบอลอังกฤษคือสเตอร์ลิงที่โดนข้อหา ‘ขี้พุ่ง’ ไปหนึ่งกระทง
อย่างไรก็ดีการตกอยู่ในบทสนทนาที่เผ็ดร้อนและเสียงติฉินนินทาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับสเตอร์ลิง ในทางตรงกันข้ามมันคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญมาตลอดนับตั้งแต่แจ้งเกิดในฐานะนักฟุตบอลดาวดัง
แม้กระทั่งสำหรับชาวอังกฤษเองเขาก็ตกเป็น ‘แพะรับบาป’ อยู่เสมอ และมีเรื่องมีราวบนหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำโดยที่ไม่ได้รับรู้เรื่องด้วยเลย
สเตอร์ลิงเคยตกเป็นข่าวพาดหัวบนหน้าหนังสือพิมพ์ The Sun เมื่อมีคนจับภาพได้ว่าเขามีรอยสักรูปปืนที่ขา จนกลายเป็นประเด็นดรามา ‘Raheem shoots himself in the foot’
ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่เคยไปทำอะไรใครที่ไหน อย่าว่าแต่ไปใช้ปืนยิงใครเลย แค่เป็นข่าวอื้อฉาวทะเลาะวิวาทก็ไม่เคยเลยด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกันกับการที่เขาต้องมีข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เพียงเพราะตัดสินใจซื้อบ้านให้แม่อยู่ ดูเป็นนักฟุตบอลเด็กที่ใช้จ่ายเงินอย่างเกินตัว
หรือการที่เขาชื่นชอบข้าวของแวววาว (Bling) ก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวให้ถกเถียงได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องส่วนตัว
สิ่งที่เป็นปัญหาตลอดมาคือผู้คนมักจะมี ‘อคติ’ กับเขามาโดยตลอด ทั้งๆ ที่แทบไม่ได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาเลยด้วยซ้ำไป
อย่างการสักรูปปืนไว้ที่ขานั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาฝักใฝ่อาวุธหรือการใช้ความรุนแรง เพราะจริงๆ แล้วมันคือการสักเพื่อระลึกถึงพ่อที่เขาไม่เคยมีความทรงจำอยู่เลยในชีวิต เพราะจากไปก่อนที่เขาจะจำความได้ตั้งแต่ตอนที่สเตอร์ลิงอายุแค่ 2 ขวบ ในช่วงที่เขาและแม่ยังอยู่ที่จาเมกา
ส่วนบ้านนั้นหากได้รู้ปูมหลังของเขาสักนิดว่าที่เขาอยากซื้อบ้านให้แม่และน้องได้อยู่อาศัยอย่างสบายกายและสบายใจ ก็เป็นเพราะครอบครัวของพวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากมาโดยตลอดตั้งแต่ที่แม่ตัดสินใจพาเขามาอยู่ที่อังกฤษเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ
นาดีน สเตอร์ลิง ยอดคุณแม่ต้องทำงานหนักทุกวันด้วยการล้างห้องน้ำไปจนถึงการรับจ้างเปลี่ยนผ้าปูที่นอน แต่ก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะอบรมเลี้ยงดูลูกชายของเธอให้เป็นคนดีที่จะสามารถใช้ชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็งได้ ซึ่งมันก็ไม่ง่ายนัก
ที่ไม่ง่ายเพราะไอ้หนูราฮีมในวัยเด็กเองก็เป็นตัวแสบซนคนหนึ่ง นอกจากจะไม่ฟังแม่แล้วก็ยังไม่เชื่อฟังคุณครูด้วย จนครั้งหนึ่งเขาต้องถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียนเพราะความประพฤตินั้นเหลือจะกล่าว
แต่ก็เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ราฮีมน้อยผู้ซุกซนและชื่นชอบการออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน (โดยที่แม่จะบอกเสมอว่า “ออกไปข้างนอกได้แต่อย่าออกจากบ้าน” เพื่อเป็นการย้ำไม่ให้เขาเตลิดไปไหน) ได้ฉุกคิดอะไรขึ้นมาเป็นครั้งแรก จากการที่เขานั่งรถบัสรับส่งนักเรียนที่เขาขึ้นเป็นประจำ และเห็นภาพของเด็กๆ ที่เดินกลับบ้านพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“อยากจะทำแบบนี้บ้างจัง ฉันแค่อยากจะเป็นเหมือนคนอื่น ฉันทำอะไรผิด ฉันก็แค่เป็นคนเงียบๆ”
เมื่อฉุกคิดได้เขาจึงปรับปรุงตัวใหม่จนกลายเป็นเด็กดีขึ้นมา ก่อนจะได้โอกาสในการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งโดยที่ไม่ยอมที่จะทำอะไรผิดและพลาดอีก
ระหว่างนั้นนอกจากแม่แล้วสเตอร์ลิงยังได้พบกับครูดีๆ ที่โรงเรียน รวมถึงคนสำคัญในชีวิตอย่าง ไคลฟ์ เอลลิงตัน คนที่จะคอยให้คำแนะนำแก่เด็กๆ บ้านใกล้เรือนเคียงในย่านเบรนต์ (Brent) ที่ครอบครัวสเตอร์ลิงใช้ชีวิตอยู่
คุณเอลลิงตันจะคอยสอนวิชาชีวิตให้แก่เด็กๆ บางครั้งก็พานั่งรถเมล์ตระเวนเที่ยวบ้าง หรือพาไปเล่นสนุกเกอร์บ้าง
แล้ววันหนึ่งเขาก็ถามเจ้าหนูราฮีมว่า “ราฮีม นายอยากจะทำอะไร”
ภาพ: Nike.com
ราฮีมน้อยตอบกลับไปว่า “ผมรักการเล่นฟุตบอล” เพราะตั้งแต่เด็กแล้วที่เขาชอบเล่นฟุตบอล และพยายามจินตนาการว่าตัวเขาเองคือ โรนัลดินโญ ซูเปอร์สตาร์ลูกหนังชาวบราซิล
เมื่อได้ยินเช่นนั้นคุณเอลลิงตันจึงเอ่ยปากชวน “ฉันมีทีมฟุตบอลที่เล่นในลีกวันอาทิตย์ (ซันเดย์ลีก) นายอยากจะมาเล่นกับพวกเราไหมล่ะ”
นั่นคือช่วงเวลาสำคัญที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของ ราฮีม สเตอร์ลิง ไปตลอดกาล เพราะหลังจากนั้นชีวิตของเขาก็มีแต่ฟุตบอลเพียงอย่างเดียว และฝีเท้าของเขาก็โดดเด่นจนเข้าตาแมวมองของทีมใหญ่ๆ มากมาย รวมถึงอาร์เซนอลด้วย ซึ่งสำหรับเด็กอย่างเขาการที่สโมสรใหญ่ในลอนดอนให้ความสนใจนั้นเป็นสิ่งที่เย้ายวนใจอย่างมาก
“ฉันจะไปอาร์เซนอล” ราฮีมวิ่งตะโกนบอกเพื่อนทุกคน
แต่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ไป คนที่ขัดขวางความคิดดังกล่าวคือนาดีน คุณแม่ของเขาเองที่เรียกเขามานั่งคุย และอธิบายถึงเหตุผลว่าหากเขาไปอยู่กับอาร์เซนอล ที่นั่นจะมีเด็กที่เก่งเท่าๆ กันอย่างน้อย 50 คน และเขาจะเป็นแค่หนึ่งในตัวเลือก ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าหากเขาจะเลือกทีมอื่นที่จะมีโอกาสมากกว่า
คำแนะนำนั้นเป็นคำแนะนำที่ชาญฉลาดและอ่านสถานการณ์ได้อย่างเด็ดขาด สุดท้ายสเตอร์ลิงเลือกจะย้ายไปร่วมทีมควีนสปาร์ค เรนเจอร์สแทน แม้ว่าแม่จะต้องไหว้วานให้น้องสาวเป็นผู้ปกครองจำเป็นพาเขาไปสนามซ้อม ซึ่งต้องนั่งรถเมล์ถึง 3 ต่อ (สาย 18 ต่อสาย 182 และสาย 140) โดยทุกวันจะออกจากบ้านตอน 3 โมง 15 นาที และกว่าจะกลับถึงบ้านคือ 5 ทุ่มของทุกวัน โดยน้องสาวจะนั่งรอเขาทุกวันที่คาเฟ่และไม่เคยปริปากบ่นเลย
และเมื่อมีโอกาสจะไปได้ไกลกว่าเดิมแต่ต้องย้ายไปอยู่ในเมืองลิเวอร์พูลที่อยู่ห่างจากลอนดอนถึง 3 ชั่วโมง แม่กับพี่สาวก็ไม่ได้ขัดขวาง ขอเพียงได้โทรหากันทุกเช้า “สวดมนต์ก่อนนอนหรือเปล่า ขอบคุณพระเจ้าในทุกเช้าที่ตื่นนอนหรือยัง” และรู้ว่าเขาสบายดี ทุกคนก็สบายใจ
ราฮีมอยู่ดีเพราะสโมสรหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้ ในบ้านที่อบอุ่น มีสวนสวยหลังบ้าน ขณะที่แม่และพี่สาวต้องย้ายที่พักไปเรื่อยๆ เป็นเวลาถึง 2 ปี โดยที่จะคอยส่งข้อความมาบอกว่า “ตอนนี้มาอยู่ที่นี่กันนะ” เพราะว่าพวกเขาไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าเช่าที่พักได้ ทำให้ต้องย้ายเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ
ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่ทำให้เมื่อมีเงินมากพอสเตอร์ลิงจึงตัดสินใจที่จะซื้อบ้านให้ครอบครัวอยู่
“ถ้าจะมีใครสักคนที่สมควรจะมีความสุข มันก็ควรจะเป็นแม่ของผม เธอมาที่ประเทศนี้โดยที่ไม่มีอะไรเลย และพยายามสร้างตัวเองจากการเรียนหนังสือ ทำความสะอาดห้องน้ำ และเปลี่ยนผ้าปูเตียง วันนี้เธอได้เป็นผู้อำนวยการของสถานพยาบาลคนชรา และลูกชายของเธอก็เล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ”
ถึงแม้ว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นเด็กที่มีความทะเยอทะยาน จากการพยายามผลักดันตัวเอง ต่อจากควีนสปาร์ค เรนเจอร์สไปลิเวอร์พูล และจากลิเวอร์พูลไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยวิธีการที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีนักเตะดาวรุ่งคนหนึ่งทำแบบนี้กับสโมสรที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ BBC เพื่อกดดันให้เกิดการย้ายทีม
แต่ในอีกด้านหนึ่งจะทำให้เราเห็นว่าเขาเป็นนักสู้ตัวจริง ที่ไม่ว่าจะเผชิญกับแรงกดดันขนาดไหน ช่วงเวลาที่ยากลำบากแค่ไหน – เหมือนในช่วงฤดูกาลที่ผ่านมาที่ฟอร์มการเล่นของเขาตกลง และมีข่าวว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะขายเขาออกจากทีม – ทุกครั้งสเตอร์ลิงก็จะแสดงให้เห็นเสมอว่าเขานั้นดีพอ
กับทีมชาติอังกฤษก็เช่นกัน เขาเป็นหนึ่งในคนที่มักจะโดนสื่อจับจ้องมากที่สุด และในสนามก็มักจะถูกวิจารณ์ฟอร์มการเล่นมากที่สุด เพราะไม่ใช่ทุกจังหวะที่เขาจะเล่นได้ดี เอาแค่ท่าทางการวิ่งของเขาก็เป็นเรื่องที่คนเอามาล้อได้แล้ว
แต่วันนี้สเตอร์ลิงคือคนที่มีส่วนสำคัญที่สุดในทีมชาติอังกฤษ เป็นผู้เล่นคนแรกที่ แกเร็ธ เซาท์เกต เลือก และจะไม่มีวันถอดออกจากทีมถ้าไม่จำเป็น และเขาก็ไม่ทำให้เจ้านายผิดหวังด้วยผลงาน 3 ประตู 1 แอสซิสต์ และการมีส่วนสำคัญกับการได้จุดโทษในรอบรองชนะเลิศ
เด็กชายที่อาศัยอยู่ใกล้สนามเวมบลีย์ เคยเฝ้ามองเส้นโค้งเหนือหลังคา (Wembley Arch) วันนี้เขาไม่เพียงแต่จะช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะ แต่เขายังชนะใจทุกคนด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการเล่นเต็มที่ทุกนัด
ตอนนี้สเตอร์ลิงต้องการชัยชนะอีกแค่ 1 นัดเพื่อจะจารึกชื่อตัวเอง ไม่ใช่แค่ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ แต่ในหัวใจของผู้คน
อ้างอิง: