ฟุตบอลยูโร 2020 เดินทางมาถึงวันสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่มกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเมื่อพ้นค่ำคืนนี้ไป แฟนบอลที่ต้องนอนดึกในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะได้เวลาพักฟื้น 2 วัน และเตรียมตัว (เตรียมใจ) ในการนอนดึกกันอีกครั้งในรอบน็อกเอาต์ที่จะกลับมาลงสนามอีกครั้งในค่ำคืนวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน
โดยเกมในค่ำคืนนี้จะมี 4 คู่ แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลาเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน โดยในเวลา 23.00 น. จะเป็นการแข่งขันในกลุ่ม E ได้แก่ สโลวะเกียพบสเปน และอีกคู่ สวีเดนพบโปแลนด์ ส่วนในเวลา 02.00 น. จะเป็นเกมในกลุ่ม F ที่โปรตุเกสจะพบกับฝรั่งเศส และเยอรมนีจะพบกับฮังการี ตามลำดับ
ฝรั่งเศสชนะเยอรมนีได้ในนัดเปิดสนาม ก่อนไปสะดุดเสมอฮังการี
โปรตุเกส vs. ฝรั่งเศส แชมป์เก่าปะทะแชมป์โลก
นี่น่าจะเป็นเกมระดับ 5 ดาวอีกเกมที่เราจะได้ดูจากกลุ่ม F แถมเดิมพันเกมนี้ยังค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกับโปรตุเกสที่จำเป็นต้องชนะเพื่อเข้ารอบแบบไม่ต้องลุ้น แม้ผลเสมอจะเพียงพอสำหรับพวกเขา แต่ถ้าหากแพ้ขึ้นมาด้วยสกอร์ที่ขาดลอยอีก นั่นอาจจะหมายถึงการตกรอบได้เลยเหมือนกัน ดังนั้นเกมนี้ทั้งสองทีมก็น่าจะตั้งเป้าในการเอาชนะคู่แข่งให้รู้แล้วรู้รอดกันไป
ฝรั่งเศสจะการันตีแชมป์กลุ่มทันทีหากเอาชนะในเกมนี้ได้โดยไม่ต้องไปลุ้นการแข่งขันอีกคู่ระหว่างเยอรมนีกับฮังการี แต่ถ้าเสมอก็ต้องไปลุ้นไม่ให้อินทรีเหล็กเอาชนะแม็กยาร์ได้ แต่ถ้าหากแพ้ขึ้นมา พวกเขามีโอกาสหลุดไปเป็นอันดับ 3 ของกลุ่มได้เลยถ้าหากเยอรมนีชนะ ขณะที่ฝั่งโปรตุเกส พวกเขามีสิทธิ์ตกรอบหากแพ้แบบที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ถ้าชนะได้ก็จะได้ลุ้นแชมป์กลุ่มในกรณีที่เยอรมนีไม่ชนะด้วย ส่วนถ้าออกผลเสมอ พวกเขาจะการันตีการเข้ารอบแน่นอน แต่จะอันดับที่เท่าไรก็ขึ้นอยู่กับผลของคู่เยอรมนีพบฮังการีเช่นกัน
ฝรั่งเศสค่อนข้างจะมีสถิติที่ข่มใส่โปรตุเกสพอสมควรใน 6 เกมหลังที่เจอกัน โดยเอาชนะไปได้ถึง 4 ครั้ง เสมอ 1 และแพ้แค่เกมเดียวเท่านั้น ซึ่งเกมล่าสุดที่เจอกันเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ฝรั่งเศสก็เฉือนไปได้ 1-0 ขณะที่ครั้งสุดท้ายที่โปรตุเกสเอาชนะฝรั่งเศสได้ก็คือเกมรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเมื่อ 5 ปีก่อนโน่นเลย
โปรตุเกสไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บมารบกวนใจ ทว่า ฝรั่งเศสไม่เหมือนกัน เนื่องจาก ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์ เพิ่งเสีย อุสมาน เดมเบเล ไปจากอาการบาดเจ็บหัวเข่าในเกมกับฮังการีนัดที่แล้ว ทำให้ทีมอาจจะขาดนักเตะที่จะมาเร่งจังหวะเกมไปหากทีมต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่นอกจากนั้นแล้วฝรั่งเศสก็พร้อมลงสนามในทุกตำแหน่งเช่นกัน ทำให้เกมนี้น่าจะสร้างความพึงพอใจคนดูในปุสกัส อารีนา และแฟนบอลทางบ้านอย่างแน่นอน
เยอรมนีโชว์ฟอร์มหรูในการเอาชนะโปรตุเกสเกมที่แล้ว
เยอรมนี vs. ฮังการี เกมที่ได้ลุ้นตั้งแต่แชมป์กลุ่มยันบ๊วยกลุ่ม
ถึงแม้จะไม่ใช่เกมใหญ่เท่าเกมอีกคู่ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่เกมระหว่างเยอรมนีกับฮังการีก็ส่งผลทั้งกับทีมที่ลงสนามเองและยังส่งผลไปถึงเกมอีกคู่ด้วย ดังนั้นจึงเป็นเกมที่ได้ลุ้นตั้งแต่ตำแหน่งจ่าฝูงของกลุ่มไปยันบ๊วยกลุ่มอย่างแท้จริง แถมเกมนี้นอกจากประเด็นในสนามแล้ว การเจอกันของเยอรมนีกับฮังการียังประเด็นในแง่ของสังคมจากจุดยืนด้าน LGBTQ ที่แตกต่างกันของแฟนบอลทั้งสองชาติด้วย
เยอรมนีจะเป็นแชมป์กลุ่มได้หากชนะเกมนี้แล้วฝรั่งเศสไม่ชนะ เพราะต่อให้โปรตุเกสชนะฝรั่งเศส และมี 6 คะแนนเท่ากัน ทว่า เยอรมนีดีกว่าในสถิติการเจอกัน แต่ถ้าเกมนี้เสมอกัน เยอรมนีจะการันตีการเข้ารอบแน่นอน โดยต้องไปลุ้นอันดับจากผลการแข่งขันของเกมอีกคู่ ในทางกลับกันถ้าเป็นฝั่งฮังการีชนะขึ้นมา แม็กยาร์จะการันตีการเข้ารอบไปแทน และในกรณีที่โปรตุเกสมีคะแนนจากฝรั่งเศส ทีมของ โยอาคิม เลิฟ จะตกรอบทันที
ในการเจอกัน 4 ครั้งหลัง เยอรมนีค่อนข้างจะข่มใส่ฮังการีจากการเอาชนะไปได้ถึง 3 เกม โดยเกมเดียวที่ฮังการีเอาชนะได้คือการเจอกันในเกมกระชับมิตรเมื่อปี 2004 ที่แม็กยาร์เอาชนะไปได้ 2-0 ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นของทั้งสองทีมจากชุดนั้นไม่เหลือมาถึงปัจจุบันในชุดนี้แล้ว ขณะที่เกมล่าสุดที่ทั้งคู่เจอกัน เยอรมนีเอาชนะไปได้ 2-0 ในเกมอุ่นเครื่องก่อนเกมยูโร 2016 เมื่อ 5 ปีก่อน
เกมนี้เยอรมนีมีสภาพทีมที่ค่อนข้างอ่วม พวกเขาจะไม่มี โธมัส มุลเลอร์ ที่บาดเจ็บที่หัวเข่า ลงสนามไม่ได้แน่นอน ส่วน มัตส์ ฮุมเมิลส์, อิลคาย กุนโดกัน และ แชร์จ กนาบรี แม้จะมีอาการบาดเจ็บรบกวนแต่ก็เพียงเล็กน้อย และลงสนามได้ ส่วนฮังการีต้องลุ้นอาการของ อดัม ซาไล เพียงคนเดียว ถ้าทดสอบความฟิตผ่าน มาร์โก รอสซี น่าจะส่งลงสนามอย่างแน่นอน
สเปนที่ทำได้เสมอมาทั้ง 2 นัดก่อนหน้านี้ จะเสมอไม่ได้อีกต่อไป
สโลวะเกีย vs. สเปน โอกาสสุดท้ายในการเรียกฟอร์มเก่งของสเปน
เกมคู่เวลา 23.00 น. วันนี้ที่สนามลา การ์ตูฆา ในเซบียา จะเป็นเกมสุดท้ายที่สเปนจะต้องเรียกฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ หากไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขามีโอกาสถึงตกรอบแบ่งกลุ่ม และถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะเป็นความอัปยศครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 ที่ทัพกระทิงดุไม่ผ่านรอบแบ่งกลุ่ม ขณะที่คู่แข่งในเกมนี้อย่างสโลวะเกียน่าจะไม่ได้รับความกดดันมากนัก เนื่องจากขอแค่เพียง 1 คะแนน ก็จะการันตีการเข้ารอบแล้ว
สเปนต้องชนะให้ได้สถานเดียวเท่านั้นหากอยากเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ผลเสมอจะทำให้พวกเขามีเพียง 3 คะแนน และอาจจะตกรอบด้วยการเป็นบ๊วยของกลุ่มได้เลยหากโปแลนด์เอาชนะสวีเดนได้ ดังนั้น 3 คะแนนคือทางเลือกเดียวของสเปน ส่วนสโลวะเกียพวกเขาจะการันตีเข้ารอบจากผลเสมออย่างที่ได้กล่าวไป แต่นั่นยังไม่พอ หากพวกเขาต้องการตำแหน่งแชมป์กลุ่ม เพราะผลงานการเจอกันพวกเขาเป็นรองสวีเดน และต่อให้สวีเดนแพ้ พวกเขาก็ต้องมานับมินิลีกกับโปแลนด์ด้วยอยู่ดี ซึ่งถึงตรงนั้น ผลต่างประตูได้เสียของโปแลนด์น่าจะดีกว่าพวกเขานั่นเอง ดังนั้นหากอยากได้แชมป์กลุ่มก็ต้องมีแต่ชนะอย่างเดียวเท่านั้น
โดยผลงานการเจอกัน 4 เกมหลังระหว่างทั้ง 2 ทีม เป็นสเปนทำได้ดีกว่า จากการชนะ 2 เสมอ 1 และแพ้ 1 โดยเกมล่าสุดที่เจอกันเมื่อเดือนกันยายน ปี 2015 เป็นสเปนที่เอาชนะไปได้ 2-0 แต่นักเตะสเปนในชุดนั้นมีเพียงแค่ เซร์คิโอ บุสเกตส์ กับ จอร์ดี อัลบา เท่านั้นที่หลงเหลือมาถึงทีมชุดนี้
อย่างไรก็ตาม เกมนี้บุสเกตส์น่าจะได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากต้องเจอกับโควิด-19 เล่นงานในเกมเปิดสนาม และการได้เขากลับมาเป็นกัปตันทีมและคุมเกมในแดนกลาง สเปนก็น่าจะทำเกมได้ดีขึ้น นั่นหมายความว่าสเปนจะกลับมาฟูลทีมอีกครั้งด้วย แต่ทางสโลวะเกียจะต้องขาดนักเตะถึง 2 คน ทั้ง อีวาน ชารานซ์ ที่บาดเจ็บข้อเท้ามาตั้งแต่ก่อนเกมเปิดสนาม ส่วนอีกรายที่จะหายไปก็คือ เดนิส วาวโร ที่ติดโควิด-19 ทำให้ต้องพักกักตัวอยู่ที่โรงแรมเท่านั้น
โปแลนด์ทำผลงานได้น่าประทับใจในการเสมอสเปนเกมที่แล้ว
สวีเดน vs. โปแลนด์ ทางเลือกที่มีแค่ชนะหรือเก็บของกลับบ้านของโปแลนด์
โปแลนด์อยู่ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับฮังการีในกลุ่ม F กล่าวคือพวกเขาจะต้องชนะเท่านั้นหากอยากผ่านเข้าไปสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่การเจอกับสวีเดนที่เล่นดีมาตลอด 2 เกมที่ผ่านมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และทางทีมไวกิ้งเองถ้าต้องการการันตีแชมป์กลุ่ม ทางเลือกของพวกเขาก็มีแค่ 3 คะแนนเช่นกัน เพราะผลเสมอยังไม่สามารถไว้ใจได้ ดังนั้นเกมที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในนัดนี้น่าจะเป็นเกมที่ดุเดือดไม่น้อยเลย
โปแลนด์ยังมีโอกาสเข้ารอบแบบไม่ต้องลุ้นเพียงแค่เอาชนะเกมนี้ให้ได้ และพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น เพราะการเสมอหรือแพ้คือการเก็บของกลับบ้านทันที ขณะที่สวีเดนจะสามารถการันตีแชมป์กลุ่มได้ทันทีจากชัยชนะ แต่ถ้าหลุดเสมอขึ้นมาก็ต้องลุ้นเกมอีกคู่ให้สเปนเสมอกับสโลวะเกีย แต่ถ้าหากพวกเขาแพ้ขึ้นมาไม่ว่าด้วยสกอร์ใด ก็จะทำให้พวกเขาอยู่อันดับต่ำกว่าโปแลนด์แน่นอน เพราะทั้งเฮดทูเฮดและประตูได้เสียเป็นรอง โดยเงื่อนไขจะยุ่งยากขึ้นถ้าสวีเดนแพ้และสโลวะเกียเสมอ เพราะจะมี 3 ทีมที่มี 4 คะแนนเท่ากัน แถมผลงานการเจอกันก็วนเป็นงูกินหาง ถึงตรงนั้นก็ต้องไปตัดสินด้วยผลต่างลูกได้เสีย ซึ่งโปแลนด์มีโอกาสสูงที่จะคว้าแชมป์กลุ่มไปครองถ้าออกมาในเงื่อนไขนี้
ข่าวที่ไม่ค่อยจะดีของโปแลนด์คือการที่พวกเขาค่อนข้างจะแพ้ทางต่อสวีเดน เพราะ 4 นัดหลังที่เจอกันมา ทีมไวกิ้งชนะไปได้ถึง 3 นัด และแพ้แค่นัดเดียว โดยเกมล่าสุดที่เจอกันในการอุ่นเครื่องปี 2004 สวีเดนก็ชนะไป 3-1 และนัดเดียวที่โปแลนด์ชนะก็ต้องย้อนไปไกลถึงปี 1974 เลยทีเดียว
แม้สถิติจะเหนือกว่า แต่สภาพความฟิตในทีมของสวีเดนถือว่าเป็นรองแน่นอน เพราะ มัทธิอัส สวานเบิร์ก เพิ่งหายจากโควิด-19 และไม่ได้ซ้อมกับทีมมานานกว่าสัปดาห์ ขณะที่ เดยัน คูลูเซฟสกี ที่หายจากโควิด-19 มาก่อนหน้า อาจจะได้โอกาสในเกมนี้ ส่วน คาร์ล มิคาเอล ลุสติก ก็ไม่ได้ฟิตสมบูรณ์ แต่ก็อาจจะลงสนามได้ถ้าจำเป็น ด้านโปแลนด์นอกจาก ยาคุบ โมเดอร์ ที่ไม่ใช่ตัวหลัก มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงคนเดียวแล้ว นักเตะในตำแหน่งอื่นก็พร้อมลงสนามทุกราย รวมไปถึง เกอร์เซกอร์ซ ครีโชเวียค ที่พ้นโทษแบนจากเกมเปิดสนาม ก็จะลงเล่นในนัดนี้ได้ด้วย
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024475–germany-vs-hungary/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024476–portugal-vs-france/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024473–slovakia-vs-spain/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024474–sweden-vs-poland/
- https://www.bavarianfootballworks.com/2021/6/22/22544966/joachim-low-bayern-munich-thomas-muller-germany-leroy-sane-timo-werner-leon-goretzka-neuhaus-volland