อิตาลีเข้าไปยืนรอในรอบชิงชนะเลิศเป็นชาติแรกเรียบร้อยแล้ว เมื่อเอาชนะการดวลลูกที่จุดโทษเหนือสเปน 4-2 หลังเสมอกันในเวลา 1-1 ทำให้ตอนนี้เหลือโควตาสุดท้ายเท่านั้นที่จะได้เข้าไปลุ้นคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในคราวนี้ โดยจะเป็น 1 ใน 2 ทีม คืออังกฤษหรือเดนมาร์ก โดยทั้งคู่จะต้องเล่นกันที่สนามเวมบลีย์ในค่ำคืนนี้เวลา 02.00 น. เพื่อหาว่าอังกฤษจะได้เข้าไปลุ้นพาฟุตบอลกลับบ้าน หรือเดนมาร์กจะได้เข้าไปลุ้นสร้างเทพนิยายเดนส์ภาค 2
เดนมาร์กผ่านเช็ก เข้ารอบรองชนะเลิศครั้งแรกในรอบ 29 ปี
เส้นทางสู่รอบรองชนะเลิศ
อังกฤษเป็นทีมอีกทีมที่ยังไม่แพ้ใครในทัวร์นาเมนต์นี้ร่วมกับอิตาลีและสเปน (หากไม่นับการดวลที่จุดโทษ) โดยพวกเขาเริ่มต้นการแข่งขันรายการนี้จากการร่วมกลุ่ม D โดยมีสมาชิกอย่างโครเอเชีย สกอตแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก และทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มด้วยการเก็บชัยชนะ 2 นัด เหนือโครเอเชียและเช็ก เกมละ 1-0 ส่วนการเจอกับสกอตแลนด์ พวกเขาทำได้แค่เสมอ 0-0 เท่านั้น นั่นทำให้พวกเขาถูกตั้งแง่จากแฟนบอลและสื่อมวลชนเกี่ยวกับฟอร์มการเล่นพอสมควร
เมื่อผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ อังกฤษต้องเจอกับบททดสอบสำคัญอย่างเยอรมนี แต่นับตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายนี้ อังกฤษก็เริ่มโชว์ฟอร์มดีขึ้นมา พวกเขาเล่นได้อย่างเหนือกว่า ‘อินทรีเหล็ก’ ก่อนเอาชนะไปได้ 2-0 และตามมาด้วยการถล่มยูเครนขาดลอย 4-0 ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ซึ่งจะเป็นเกมเดียวในทัวร์นาเมนต์นี้ของพวกเขาที่จะต้องเล่นนอกเวมบลีย์ ซึ่งเมื่อผ่านยูเครน ก็มีเดนมาร์กมารอที่รอบนี้
ขณะที่ทัพ ‘โคนม’ เป็นทีมเดียวในรอบรองชนะเลิศที่เคยแพ้มาก่อน พวกเขาแพ้ตั้งแต่เกมแรกในการเจอกับฟินแลนด์ 0-1 แบบช็อกโลก ทั้งผลการแข่งขันและเหตุการณ์ระหว่างเกมที่เกิดกับ คริสเตียน อีริกเซน หลังจากนั้นก็มาเจอทีเด็ดของ เควิน เดอ บรอยน์ ทำให้ต้องพ่ายเบลเยียม 1-2 แต่ชัยชนะในนัดสุดท้ายเหนือรัสเซีย พลิกสถานการณ์ให้เดนมาร์กเข้ารอบสุดท้ายได้ในฐานะทีมอันดับที่ 2 อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยพวกเขายังเป็นทีมอันดับ 2 ที่มีแต้มน้อยที่สุดในทุกกลุ่มอีกด้วย
เมื่อเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ ฟอร์มของเดนมาร์กที่เหมือนจะจุดติดมาตั้งแต่เกมถล่มรัสเซีย 4-1 ก็ร้อนแรงต่อเนื่องและไล่ถล่มเวลส์ 4-0 ก่อนมาเฉือนชัยเหนือสาธารณรัฐเช็ก 2-1 ทำให้จนถึงรอบรองชนะเลิศพวกเขายิงไปแล้วถึง 11 ประตู เป็นรองเพียงแค่สเปน (13 ประตู) กับ อิตาลี (12 ประตู) แค่ 2 ทีมเท่านั้น บ่งบอกถึงความอันตรายในเกมรุกของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ราฮีม สเตอร์ลิง และ แฮร์รี เคน ยิงให้อังกฤษไปแล้วคนละ 4 ประตู
อังกฤษมีอะไรดี
อังกฤษไม่เคยได้แชมป์รายการนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยจุดนี้เองที่ถูก แคสเปอร์ ชไมเคิล นำไปใช้เล่นสงครามประสาทก่อนเกมว่า ‘พวกเขาไม่เคยนำฟุตบอลกลับบ้านได้’ โดยแชมป์เมเจอร์ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์อังกฤษ คือการคว้าแชมป์ในฟุตบอลโลก 1966 ในบ้านของพวกเขา ซึ่งในหนนั้นยังเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่อังกฤษได้ตบเท้าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลระดับเมเจอร์
หลังจากนั้นอังกฤษทำได้ไกลที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลรายการเมเจอร์คือการมาจ่อที่รอบรองชนะเลิศแล้วต้องมีอันร่วงลงไปทุกที ไล่ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1990, ฟุตบอลโลก 2018 หรือในฟุตบอลยูโร 1968 และยูโร 1996 รวมไปถึงฟุตบอลรายการรองๆ อย่างยูฟ่าเนชันส์ลีก 2019 พวกเขาก็มีอันต้องตกรอบรองชนะเลิศ หลังจากแพ้ต่อเนเธอร์แลนด์ 1-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ดังนั้น อังกฤษหมายมั่นปั้นมือมากที่จะหลุดพ้นคำสาปที่กักขังพวกเขาไว้ในรอบรองชนะเลิศ และนี่ดูเหมือนจะเป็นโอกาสดีที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะอังกฤษจะได้เล่นในบ้านที่สนามเวมบลีย์ ซึ่งรอบชิงชนะเลิศก็จัดขึ้นที่นี่ด้วย โดยตอนนี้กองหน้าหมายเลข 1 ของทีมอย่าง แฮร์รี เคน ก็กำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม หลังยิงไปแล้ว 3 ประตูใน 2 นัดหลัง และต้องการอีกแค่ 1 ประตูเท่านั้น ก็จะกลายเป็นนักเตะที่ยิงมากที่สุดให้อังกฤษในรายการเมเจอร์ระดับชาติ เทียบเท่ากับ แกรี ลินิเกอร์
ขณะที่ ลุค ชอว์ ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมและทำไปแล้ว 3 แอสซิสต์ กลายเป็นนักเตะที่แอสซิสต์สูงสุดให้อังกฤษในการแข่งขันฟุตบอลยูโรทัวร์นาเมนต์เดียว เทียบเท่ากับที่ เดวิด เบ็คแฮม เคยทำได้ในปี 2000 นั่นจึงเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับแฟนบอลอังกฤษ ที่หมายมั่นปั่นมือว่าพวกเขาจะได้เป็นเล่นในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ให้ได้ หลังก่อนหน้านี้เล่นมา 36 เกมในฟุตบอลยูโร พวกเขาไม่เคยเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศเลย
แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ยิงให้เดนมาร์ก 3 ประตูใน 4 เกมหลัง
เดนมาร์กมีดีอย่างไร
อันที่จริงแล้วเดนมาร์กก็ไม่ได้มีสถิติที่โดดเด่นเท่าไรในการเล่นรอบรองชนะเลิศในฟุตบอลยูโร แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าอังกฤษที่เล่น 2 นัด แพ้ทั้ง 2 นัด เพราะทีม ‘โคนม’ เล่น 3 นัด ยังมีชนะไปเสีย 1 นัด แม้อีก 2 นัดจะแพ้ต่อสหภาพโซเวียต และแพ้จุดโทษสเปนก็ตาม แต่ครั้งเดียวที่พวกเขาชนะคือการชนะเนเธอร์แลนด์ในช่วงการดวลจุดโทษ 5-4 หลังเสมอในเวลา 2-2 ส่งพวกเขาไปถึงการคว้าแชมป์ในบั้นปลาย
นี่เป็นการกลับมาปรากฏตัวครั้งแรกในรอบรองชนะเลิศฟุตบอลยูโรของเดนมาร์กในรอบ 29 ปี ซึ่งถือครองสถิติช่องว่างที่ยาวนานที่สุดในการมาเล่นรอบรองชนะเลิศ 2 ครั้ง แต่การมาครั้งนี้ของพวกเขาถือได้ว่าไม่ธรรมดา หลังยิงไป 11 ประตู สูงสุดเป็นสถิติของทีมในการแข่งขันฟุตบอลระดับเมเจอร์ทัวร์นาเมนต์เดียว โดยก่อนหน้านี้สถิติเดิมอยู่ที่ 10 ประตู ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1986
เดนมาร์กชุดนี้มีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกับชุดที่คว้าแชมป์ในปี 1992 โดยเฉพาะเส้นทางการเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ รั้งบ๊วยมาเมื่อผ่าน 2 เกมแรก แต่เอาชนะได้ในเกมสุดท้ายและเข้ารอบมาในฐานะทีมอันดับที่ 2 ของกลุ่มไม่ต่างกัน และไม่ต่างจากที่อังกฤษมี แฮร์รี เคน เพราะ แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ก็โชว์ฟอร์มร้อนแรงกับเดนมาร์กเช่นกัน และยิงไป 3 ประตูจาก 2 นัดหลังได้เหมือนกันด้วย
ขณะที่อีกหนึ่งนักเตะที่น่าสนใจของทีม ‘โคนม’ คงหนีไม่พ้น มิคเกล ดัมส์การ์ด ที่ยิงไปแล้ว 3 ประตู กับ 4 แอสซิสต์ ใน 7 นัดหลังที่ได้ลงสนามกับทีมชาติเดนมาร์ก ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งนักเตะอันตรายสำหรับทีมอังกฤษ ขณะที่ ปิแอร์-เอมิล ฮอยจ์เบิร์ก ก็เป็นอีก 1 นักเตะที่ทำไปแล้ว 3 แอสซิสต์ ซึ่งเท่ากับ ลุค ชอว์ ของอังกฤษ และ ดานี โอลโม ของสเปน โดยที่ตามหลัง สตีเวน ซูเบอร์ ของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในตอนนี้อยู่ 1 ครั้งเท่านั้น
ล่มใส่ยูเครน 4-0 ในเกมที่โรม รอบ 8 ทีมสุดท้าย
ความพร้อมและสถิติที่น่าสนใจ
โชคดีของทั้งสองทีมก่อนเกมนี้ก็คือ บรรดานักเตะที่ลงสนามในเกมก่อนไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือติดโทษแบน ทำให้ไม่ต้องมานั่งลุ้นว่าจะมีใครลงสนามไม่ได้หรือไม่ นั่นหมายความว่า ทั้งอังกฤษและเดนมาร์กสามารถจัดทีมชุดที่ดีที่สุดลงสนามได้ในเกมนี้ทั้งคู่ โดยทางเดนมาร์ก การจัดตัวไม่น่าจะเดายาก เพราะคงยึดทีมชุดเดิมที่เอาชนะสาธารณรัฐเช็กกับเวลส์เป็นหลัก แต่ทาง แกเร็ธ เซาธ์เกต นี่น่าสนใจ เพราะการได้ บูกาโย ซากา กลับมา พวกเขาจะจัดทีมออกมาในรูปแบบไหน
อย่างไรก็ตาม แม้สถิติจะฟ้องว่าเดนมาร์กไม่ถูกโฉลกกับเวมบลีย์สักเท่าไร แต่พวกเขามีผลงานดีกว่าในการเล่นกับอังกฤษ 21 นัดที่ผ่านมา โดยเอาชนะไปได้ถึง 11 นัด เสมอ 1 และแพ้ 9 โดย 6 นัดหลังสุดที่เจอกัน เดนมาร์กก็ชนะไปได้มากกว่าคือ 3 นัด เสมอกัน 1 นัด และอังกฤษเอาชนะไปได้ 2 นัด ซึ่งเกมล่าสุดที่ทั้งสองทีมเจอกันในยูฟ่าเนชันส์ลีกที่เวมบลีย์ เป็นเดนมาร์กบุกมาเอาชนะไปได้ 1-0 โดยในเกมนั้นนักเตะอังกฤษโดนใบแดงกันถึง 2 คน
สถิติที่น่าสนใจอีกอย่างคือสถิติส่วนตัวระหว่าง แฮร์รี เคน กับ แคสเปอร์ ชไมเคิล โดยถ้ายังจำกันได้ เคนยิงใส่ชไมเคิลในเกมสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก พร้อมขึ้นไปคว้าตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งพร้อมกันนั้นยังทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ทีมของนายทวารเดนมาร์ก พลาดการไปเล่นในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในนัดสุดท้ายเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันด้วย และทั้งอาชีพ เคนก็ยิงใส่ชไมเคิลไปแล้วถึง 14 ประตู ซึ่งถือว่าถูกโฉลกกับการยิงใส่นายทวารผู้นี้มากทีเดียว
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/026b-12ad7dcf14a0-638b8eb05d24-1000–england-vs-denmark-facts/?iv=true
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/026b-12ad02cef9b4-48ffc3cfb386-1000–england-vs-denmark-preview/
- https://www.skysports.com/football/england-vs-denmark/preview/421531
- https://www.bbc.com/sport/football/57735477