ในช่วงวันพุธที่ผ่านมา (13 มีนาคม) Ethereum ได้มีการอนุมัติการ อัปเกรดระบบ ครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปีที่เรียกว่า ‘Dencun’ หลังการอัปเกรด ‘Shapella’ ในช่วงปีก่อน (2023) ซึ่ง ‘Dencun’ จะเข้ามาทำให้ค่าธรรมเนียมบนเลเยอร์ 2 ของ Ethereum (เช่น Arbitrum, Optimism หรือ Polygon) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อทำให้สามารถขยายฐานผู้ใช้งานได้มากขึ้น
โดยในการอัปเกรด Dencun เป็นการรวมคำของ 2 การอัปเกรดเข้าไว้ด้วยกัน คือ ‘Deneb อัปเกรด’ และ ‘Cancun อัปเกรด’ เป็นไปตามข้อเสนอ ‘EIP’ (Ethereum Improvement Proposal 4844) 9 รูปแบบ ได้แก่ EIP-1153, EIP-4788, EIP-4844, EIP-5656, EIP-6780, EIP-7044, EIP-7045, EIP-7514 และ EIP-7516
และจะมุ่งเน้นตามข้อเสนอ EIP-4844 หรือ ‘Proto-Danksharding’ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกข้อมูลธุรกรรมของเครือข่าย Ethereum พร้อมกับข้อเสนออื่นๆ ที่จะขยายเครือข่ายทำให้สามารถรองรับธุรกรรมต่อหนึ่งหน่วยเวลาได้มากขึ้น เพื่อให้สามารถลดต้นทุนในการทำธุรกรรมลงอย่างมาก
เนื่องจากว่าการทำธุรกรรมบนเลเยอร์ 2 ของ Ethereum จะมีค่าใช้จ่าย 2 ส่วน คือค่าการบันทึกธุรกรรมบนเลเยอร์ 2 กับค่าธรรมเนียมการดำเนินการธุรกรรมบนเลเยอร์ 1 ซึ่งกว่า 90% ของค่าธรรมเนียมมาจากส่วนแรก
ซึ่งทาง Jesse Pollak ผู้ก่อตั้ง Base เครือข่ายเลเยอร์ 2 บน Coinbase ให้สัมภาษณ์กับ CoinDesk ว่าภายหลังการอัปเกรดดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมบนเลเยอร์ 2 ลดลงกว่า 90-95% หากผู้ใช้งานยังคงใช้งานในระดับเดิม
ภายหลังการอัปเกรดเสร็จสมบูรณ์ช่วงคืนที่ผ่านมา (13 มีนาคม) ราคา Ethereum กลับไม่ตอบสนองในเชิงบวก โดยราคาปรับตัวลงเล็กน้อยราว 0.5% มาเคลื่อนไหวบริเวณ 3,968 ดอลลาร์ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นมากว่า 50% ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน
อ้างอิง: