Esther George ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) สาขาแคนซัส แสดงความเห็นระหว่างการให้สัมภาษณ์กับทางสถานีโทรทัศน์ CNBC เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (5 มกราคม) ว่าจากประสบการณ์การทำงานกับ Fed มานานถึง 40 ปี Fed น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ที่ระดับ 5% และคงอัตราดังกล่าวไว้จนกว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าราคาในตลาดมีเสถียรภาพอย่างแท้จริง
George ชี้ชัดว่า ข้อความที่ Fed พยายามจะสื่อออกไปก็คือการคงระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมจนกว่าจะมีหลักฐานชัดเจนที่ทำให้มั่นใจได้ว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังปรับตัวลดลง และโดยส่วนตัวมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่ระดับ 5% ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งหมายรวมถึงสัญญาณที่บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงสู่ระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2%
ทั้งนี้ ในการประชุม Fed เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงินได้ลงมติให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 0.5% ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 4.25-4.5% ขณะที่สรุปรายงานการประชุม Fed ที่มีการเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (4 มกราคม) ระบุว่า สมาชิก Fed ไม่เห็นโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยใดๆ ในปี 2023 นี้ พร้อมแสดงความกังวลว่าประชาชนอาจเข้าใจผิดว่าการลดปริมาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นสัญญาณชี้ว่า Fed จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองส่วนตัวของ George ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยน่าจะอยู่เหนือระดับ 5% ในปี 2024 ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ Neel Kashkari ประธาน Fed สาขามินนิแอโปลิส ที่เห็นว่าหากเงินเฟ้อไม่ยอมลด Fed ก็มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนแตะระดับ 5.4% หรืออาจมากกว่านั้น
แม้จะยอมรับว่านโยบายการเงินที่เข้มงวดของ Fed จะส่งผลต่ออุปสงค์ในตลาด และอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย แต่ George ระบุว่า ภาวะถดถอยไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และมองว่าสถานการณ์สหรัฐฯ ในขณะนี้ยังไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอยได้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น ทั้งหมดที่ Fed ต้องทำคือจับตามองความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิดและตอบสนองต่อสถานการณ์ให้ทัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ความมั่งคั่งจากหุ้นของชาวอเมริกันหายไปกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ จากที่เคยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวหลังวิกฤตโควิด
- Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามคาด 0.75% พร้อมส่งสัญญาณขึ้นต่อลากยาวถึงปีหน้า
- นักวิเคราะห์ชี้พิษนโยบาย Fed เป็นเหตุทำตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วน
อ้างอิง: