ผลการศึกษาฉบับใหม่ ซึ่งได้รับการเผยแพร่ลงในวารสาร Nature Medicine วานนี้ (27 กุมภาพันธ์) เปิดเผยว่า Erythritol (อิริทริทอล) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีค่าแคลอรีเป็นศูนย์ มีส่วนเชื่อมโยงกับการแข็งตัวของเลือด โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจวาย และการเสียชีวิตของมนุษย์
ดร.สแตนลีย์ ฮาเซน ผู้อำนวยการศูนย์วินิจฉัยและป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดแห่งสถาบันวิจัย Cleveland Clinic Lerner ซึ่งเป็นผู้นำในการวิจัยฉบับนี้ กล่าวว่า ระดับของความเสี่ยงนั้น ‘สูงเกินระดับปานกลาง’ โดยผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ เช่น มีโรคเบาหวานอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะหัวใจวายหรือเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า หากพวกเขามีระดับอิริทริทอลในเลือดสูง
“หากระดับอิริทริทอลในเลือดของคุณอยู่เหนือระดับ 75% ก็จะมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับระดับอิริทริทอลในเลือดไม่เกิน 25% มันเทียบได้กับปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจที่อันตรายที่สุด เช่น โรคเบาหวาน” ฮาเซนกล่าว
จากการวิจัยในห้องปฏิบัติการและการวิจัยในสัตว์เพิ่มเติมพบว่า อิริทริทอลดูเหมือนจะทำให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อนได้ง่ายขึ้น โดยลิ่มเลือดสามารถแตกตัวและไหลเวียนไปยังหัวใจจนทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย หรืออาจไหลเวียนไปยังสมองและทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
ดร.แอนดรูว์ ฟรีแมน ผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดของ National Jewish Health แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานวิจัยว่า “รายงานนี้น่าตกใจ และดูเหมือนมีความเสี่ยงที่เลือดจะจับตัวเป็นก้อนจากการรับประทานอิริทริทอล อย่างไรก็ตาม นักวิจัยจะต้องเดินหน้าศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ถึงเช่นนั้นทุกคนก็ควรจำกัดปริมาณการรับประทานอิริทริทอลในมื้ออาหารตั้งแต่ตอนนี้”
อย่างไรก็ตาม โรเบิร์ต แรนคิน กรรมการบริหารของสภาควบคุมแคลอรี (Calorie Control Council) ซึ่งเป็นสมาคมอุตสาหกรรม ได้เปิดเผยกับสำนักข่าว CNN ว่า “ผลการศึกษานี้ตรงกันข้ามกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มีมาหลายทศวรรษ ซึ่งระบุว่า สารให้ความหวานที่มีแคลอรีต่ำ เช่น อิริทริทอล นั้นปลอดภัย ตามหลักฐานที่ได้รับอนุญาตตามกฎระเบียบทั่วโลกสำหรับการใช้งานในอาหารและเครื่องดื่ม” พร้อมระบุว่า ผลการศึกษานี้ไม่ควรนำมาใช้กับประชาชนทั่วไป เนื่องจากผู้ที่เข้าร่วมการวิจัยดังกล่าวเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนสมาคมผู้ผลิตโพลิออลแห่งยุโรป (European Association of Polyol) ซึ่งเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอีกชนิดหนึ่ง ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น โดยระบุว่า ยังไม่ได้ทบทวนการศึกษานี้
แฟ้มภาพ: Kabachki.photo Via Shutterstock
อ้างอิง: