×

โดดเดี่ยวผู้น่าเศร้า เออร์ลิง ‘เหงา’ ฮาลันด์

18.04.2024
  • LOADING...
ฮาลันด์ แมนซิตี้

HIGHLIGHTS

6 MIN READ
  • ตลอด 90 นาทีที่เอติฮัด สเตเดียม เมื่อคืนที่ผ่านมา (17 เมษายน) ฮาลันด์ได้โอกาสสัมผัสบอลทั้งสิ้นแค่ 21 ครั้ง ได้โอกาสยิงทั้งหมด 5 ครั้งในเกมนี้ มีเพียงแค่ 1 ครั้งที่เป็นการยิงเข้ากรอบ
  • ในภาพรวมแล้วฟอร์มการถล่มประตูดูตกลงไปจากเดิม แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ เพียงแต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือในหลายๆ นัดฮาลันด์แทบไม่สามารถช่วยเหลืออะไรทีมได้อย่างที่ควรจะเป็น บางนัดแทบไม่มีตัวตนเลยด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะในเกมใหญ่ที่คนคาดหวังจากตัวเขามากอย่างการเจอกับลิเวอร์พูล,​ อาร์เซนอล หรือเรอัล มาดริด
  • นักฟุตบอลที่แทบไม่ได้บอลถึงตัว ไม่ใช่ผลดีอย่างแน่นอน เพราะมันอาจส่งผลต่อเรื่องของฟอร์มการเล่นและความมั่นใจของฮาลันด์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูจากจังหวะการเล่นที่ความเฉียบคมและเฉียบขาดหายไปพอสมควร แค่จับบอลก็แทบไม่อยู่แล้ว จังหวะวางเท้าที่เคยคมกริบก็ไม่มั่นใจเหมือนเดิม

สีหน้าของศูนย์หน้าที่ว่ากันว่าน่ากลัวและอันตรายที่สุดในโลกฟุตบอลยุคนี้ต้องเรียกว่าบอกบุญไม่รับ

 

เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ได้แต่เป่าปากด้วยความผิดหวังเมื่อลูกโหม่งของเขาในเกมแชมเปียนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย เลก 2 กับเรอัล มาดริด หลุดกรอบออกไปแบบไม่ได้ลุ้นอะไรเลย

 

นี่ไม่ใช่เกมแรกที่เขาใส่สกอร์ไม่ได้ และจบเกมด้วยความผิดหวัง แต่เพราะนี่เป็นเกมที่ทุกคนและตัวของเขาเองคาดหวังอย่างมากว่าจะได้เห็นฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมหรืออย่างน้อยที่สุดก็มีส่วนช่วยในการตัดสินเกมให้กับทีมได้

 

แต่ฮาลันด์ไม่ได้อยู่แม้กระทั่งในช่วงของการต่อเวลาพิเศษ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็พ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ ตกรอบหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์อย่างน่าเจ็บปวด

 

ผลงานในเกมนี้เป็นกระจกสะท้อนถึงช่วงเวลาและปัญหาในการเล่นกับต้นสังกัดที่ยากลำบากขึ้นหรือไม่สำหรับดาวยิงผู้นี้?

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่ของทีมเรือใบสีฟ้าชี้แจงการเปลี่ยนตัวฮาลันด์ออกจากทีมทันทีเมื่อเข้าช่วงของการต่อเวลาพิเศษ โดยยืนยันว่ากองหน้าทีมชาตินอร์เวย์เป็นคนที่แจ้งว่าขอเปลี่ยนตัวออกจากทีมเองเพราะไม่สามารถจะเล่นต่อได้ไหว และเป็น ฮูเลียน อัลวาเรซ ที่ถูกส่งลงไปทำหน้าที่แทน

 

เช่นกันกับ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพเบอร์หนึ่งของทีมที่โดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามในนาทีที่ 112 ของเกม โดยมี มาเตโอ โควาซิช เข้าไปประจำการแทนในแดนกลาง

 

 

การออกมาชี้แจงแบบนี้ของเป๊ปเกิดขึ้นจากการที่แมนฯ ซิตี้ไปเสียท่าเรอัล มาดริดในช่วงของการดวลจุดโทษ ซึ่งความจริงควรจะชิงความได้เปรียบก่อนเมื่ออัลวาเรซยิงเข้าเป็นคนแรก ขณะที่ ลูกา โมดริช จอมเก๋าของทีมเจ้าพ่อถ้วยยุโรปยิงพลาดไปติดเซฟของเอแดร์สัน

 

แต่ปรากฏว่าอีก 2 คนของแมนฯ ซิตี้ อย่าง แบร์นาโด ซิลวา และ โควาซิชยิงพลาดไปติดเซฟของ อังเดร ลูนิน นายทวารราชันชุดขาวทั้งคู่

 

เป๊ปที่ถอดทั้งฮาลันด์และเดอ บรอยน์ออกมา จึงต้องชี้แจงให้หายข้องใจกันว่าทำไมจึงเอา 2 นักเตะที่ดีที่สุดของทีมออกมาพัก

 

ในรายของจอมทัพชาวเบลเยียมนั้นแม้จะเป็นคนพลาดโอกาสทองที่จะทำให้ทีมแซงชนะได้ในช่วงท้ายเกมของช่วงเวลาปกติ และอยู่ห่างไกลจากฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมในมาตรฐานสูงลิบที่เคยทำไว้ แต่อย่างน้อยที่สุดเดอ บรอยน์ก็เป็นคนที่ตีเสมอให้กับแมนฯ ซิตี้ได้ในเกมนี้ และแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทตลอดทั้งเกม

 

ในทางตรงกันข้ามกับฮาลันด์ กองหน้าร่างยักษ์กลับดูมีปัญหาที่ชัดเจนกว่ามากยามอยู่ในสนาม

 

แน่นอนว่าด้วยการวางหมากของ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่สั่งให้เรอัล มาดริดวางอีโก้และหันมาเล่นเกมรับเต็มรูปแบบทันทีหลังจากฉวยโอกาสทำประตูขึ้นนำไปก่อนในช่วงต้นเกมจากโรดริโก การถอยลงไปเล่นแบบ Low Block ของพวกเขาทำให้ฮาลันด์แทบกระดิกตัวไม่ได้

 

แต่การมีส่วนร่วมกับเกมของดาวยิงรายนี้ก็น้อยจนน่าเป็นห่วง ดังนี้

 

  • ตลอด 90 นาทีที่เอติฮัด สเตเดียม เมื่อคืนที่ผ่านมา (17 เมษายน) ฮาลันด์ได้โอกาสสัมผัสบอลทั้งสิ้นแค่ 21 ครั้ง
  • ดาวยิงพระกาฬได้ผ่านบอลตลอดทั้งเกมแค่ 5 ครั้ง โดยกว่าจะได้ผ่านบอลครั้งแรกต้องรอจนถึงนาทีที่ 37 ของเกมการแข่งขัน ซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เพราะสวนทางกับสถิติตัวเลขการผ่านบอลรวมของซิตี้ ที่เน้นเรื่องของการครองบอลแบบเต็มที่ ตลอดทั้งเกมผ่านบอลมากถึง 846 ครั้ง

 

เอาละ ถ้าเราจะตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปและมองเรื่องของการทำหน้าที่หลักอย่างการทำประตูอย่างเดียว

 

  • ฮาลันด์ได้โอกาสยิงทั้งหมด 5 ครั้งในเกมนี้ มีเพียงแค่ 1 ครั้งที่เป็นการยิงเข้ากรอบ
  • แต่ไม่มีสักครั้งที่จะสร้างความอันตรายกับแนวรับของเรอัล มาดริดเลย
  • หากกางสถิติในการพบกัน 2 นัดที่ผ่านมาในแชมเปียนส์ลีก ฮาลันด์ได้โอกาสยิงเข้ากรอบแค่ 2 ครั้งจาก 11 ครั้ง

 

 

ผลงานนี้เป็นเครื่องตอกย้ำถึงสิ่งที่น่าวิตกเล็กๆ เกี่ยวกับฟอร์มการเล่นของหัวหอกที่ได้ชื่อว่าอยู่ในระดับจอมมารกำลังมีปัญหา

 

แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือปัญหานี้เกิดจากอะไร และเป็นปัญหาจริงๆ ใช่ไหม?

 

ก่อนจะเจาะลึกลงไปต้องแจงสถิติก่อนเล็กน้อยว่าในฤดูกาลนี้ 2023/24 ฮาลันด์ทำไปแล้ว 31 ประตู (รวมทุกรายการ) จากการลงสนาม 39 นัด (นับถึงเกมกับเรอัล มาดริด เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2024) ซึ่งถ้าเป็นกองหน้าคนอื่นแล้วนี่ถือเป็นผลงานในระดับสุดยอดเลยทีเดียว

 

เพียงแต่เมื่อเทียบกับมาตรฐานที่ตัวเองทำไว้ในฤดูกาลที่แล้วด้วยการยิงไปถึง 52 ประตู ก็ต้องบอกว่ามาตรฐานผลงานตกลงจากเดิม ‘นิดหน่อย’

 

ให้ความยุติธรรมอีกนิด คือฮาลันด์โชคร้ายได้รับบาดเจ็บบริเวณกระดูกในช่วงเดือนธันวาคม และกว่าจะหายกลับมาลงสนามได้คือช่วงปลายเดือนมกราคม รวมแล้วหายไปเกือบ 2 เดือนด้วยกัน

 

แต่ปัญหาคือหลังหายจากอาการบาดเจ็บ ดูเหมือนเขาจะยังเรียกฟอร์มการเล่นเดิมๆ กลับมาไม่ได้ ในพรีเมียร์ลีกฮาลันด์ลงสนามหลังหายเจ็บทั้งหมด 11 นัด (ถูกดร็อปพัก 1 นัด) ทำประตูได้ 5 นัด ยิงได้รวมทั้งหมด 6 ลูก

 

ขณะที่แชมเปียนส์ลีกซึ่งปกติแล้วถือเป็น ‘ของโปรด’ ฮาลันด์ลงสนามหลังอาการบาดเจ็บทั้งหมด 4 นัด ยิงได้แค่ลูกเดียว

 

มีเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นที่ฮาลันด์ระเบิดฟอร์มในระดับจอมมารแบบที่เคยทำได้คือเกมกับลูตัน ทาวน์ ในศึกเอฟเอคัพ ที่แมนฯ ซิตี้บุกไปถล่มขาดลอยถึง 6-2 วันนั้นเขาทำคนเดียวไปถึง 5 ประตู    

 

ในภาพรวมแล้วฟอร์มการถล่มประตูดูตกลงไปจากเดิม แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ เพียงแต่สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือในหลายๆ นัดฮาลันด์แทบไม่สามารถช่วยเหลืออะไรทีมได้อย่างที่ควรจะเป็น

 

บางนัดแทบไม่มีตัวตนเลยด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะในเกมใหญ่ที่คนคาดหวังจากตัวเขามากอย่างการเจอกับลิเวอร์พูล​ อาร์เซนอล หรือเรอัล มาดริด

 

 

สิ่งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่คู่แข่งเองศึกษาวิธีการเล่นของเขามาอย่างดีและหาทางในการรับมือได้ดีขึ้น ซึ่งรวมถึงเรื่องของการหาตำแหน่งในชั่วพริบตาที่เป็นลูกเก่งของเขาที่จะหาขยับไปหาตำแหน่งได้ถูกที่ถูกเวลาเสมอ แต่ในฤดูกาลนี้ถูกประกบติดหนึบขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

แต่ส่วนที่น่ากังวลกว่าคือการเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นของแมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่เน้นเรื่องของการครองเกม (Possession) อย่างมาก ตัดความเป็นไปได้ที่จะถูกคู่แข่งเล่นงานด้วยการสวนกลับให้ได้มากที่สุด

 

นั่นทำให้เราได้เห็นวิธีการเล่นด้วยการส่งเซ็นเตอร์แบ็กลงสนามในไลน์แบ็กโฟร์ 3-4 คนตลอด โดยที่จะมีบางคนที่มี ‘จ็อบ’ ในการช่วยสนับสนุนเกมรุก เช่น แบ็กซ้ายที่อาจจะเป็น ยอสโก กวาร์ดิโอล หรือ นาธาน อาเก หรือคนที่มีเทคนิคดีมีความคล่องตัวลำเลียงบอลขึ้นมาได้อย่าง จอห์น สโตนส์ หรือ มานูเอล อคานยี

 

ส่วนแดนกลางแม้จะมีตัวที่มีเทคนิคการเล่นสูง มีจินตนาการ อย่าง แบร์นาโด ซิลวา, ฟิล โฟเดน หรือ แจ็ค กรีลิช อยู่ในทีมแต่ทั้งหมดนี้เป็นสาย ‘คอนโทรล’ ที่ไม่ได้ชื่นชอบการทะลุทะลวงสักเท่าไรนัก และไม่ ‘คุกคาม’ คู่แข่งได้ในแบบเดียวกับที่ อิลคาย กุนโดกัน หรือ ริยาด มาห์เรซ เคยทำให้ทีมได้ในฤดูกาลก่อน

 

ขณะที่เดอ บรอยน์ ด้วยวัยที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้อยู่ใน ‘ร่างทอง’ แบบเดิมมาสักพักแล้ว

 

บอลของแมนฯ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้จึงจ่ายกันแบบวนไปวนมาไม่รู้จบ เล่นอย่างอดทนเพื่อจะรอช่องว่างในเกมรับของคู่แข่งเกิดขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็ได้ผลตลอด เพียงแค่บางนัดเท่านั้นที่เจอคู่แข่งในระดับใกล้เคียงกันต้านทานเอาไว้ได้

 

ปัญหามันเกิดสำหรับฮาลันด์ในฐานะกองหน้าตัวเป้า เขาแทบจะไม่ได้บอลมาถึงเท้าเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของการใช้ความเร็วระดับปีศาจในการเล่นงานเกมรับของคู่แข่งที่แทบไม่มีให้เห็นในฤดูกาลนี้ เพราะเป๊ปไม่ได้ใช้จุดเด่นตรงนี้ของเขาเท่าไรนัก

 

ไม่มีการเล่นแบบ Fast Break มากเหมือนในฤดูกาลที่แล้ว ที่ฮาลันด์จะได้บอลทิ้งยาวไปวัดกับกองหลังที่น้อยคนจะตามหรือหยุดเขาได้

 

สำหรับนักฟุตบอลที่แทบไม่ได้บอลถึงตัว ไม่ใช่ผลดีอย่างแน่นอน เพราะมันอาจส่งผลต่อเรื่องของฟอร์มการเล่นและความมั่นใจของฮาลันด์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดูจากจังหวะการเล่นที่ความเฉียบคมและเฉียบขาดหายไปพอสมควร แค่จับบอลก็แทบไม่อยู่แล้ว จังหวะวางเท้าที่เคยคมกริบก็ไม่มั่นใจเหมือนเดิม

 

 

อีกส่วนคือตัวของเขาเองก็แทบไม่ได้มีส่วนร่วมกับการเล่นของทีมสักเท่าไร เอาแต่ยืนปักหลักชนกับกองหลังคู่แข่ง ซึ่งถึงจะเป็นการเล่นตาม ‘ใบสั่ง’ แต่บางครั้งก็น่าคิดว่าฮาลันด์ควรจะพยายามมีส่วนร่วมกับทีมให้มากกว่านี้หรือไม่

 

ในเกมที่พบกับเรอัล มาดริด มีบางจังหวะที่เขาเก็บบอล เชื่อมบอล และพาบอลไปด้วยตัวเอง ซึ่งทำได้ดีเหมือนกัน ไม่ได้ถึงกับเป็นนักฟุตบอลที่ทักษะการเล่นแบบ ‘ลีกทู’ แบบที่ รอย คีน วิพากษ์ไว้แบบเจ็บๆ ขนาดนั้น

 

ตรงนี้เป็นโจทย์ที่เป๊ปคงต้องหาทางปรับแก้อีกที ไม่ว่าจะในระยะสั้น ในระหว่างนี้ไปจนจบฤดูกาล ซึ่งแมนฯ ซิตี้ยังเหลือลุ้น ‘ดับเบิลแชมป์’ ทั้งพรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพอยู่ โดยที่ฟอร์มและความมั่นใจของฮาลันด์สำคัญต่อโอกาสของทีมอย่างแน่นอน

 

ไปจนถึงเรื่องของการ ‘สนับสนุน’​ ที่ดีขึ้นกว่าเดิมจากทีม ซึ่งจะช่วยดึงศักยภาพในตัวของเขาออกมาให้มากที่สุด

 

ไม่อย่างนั้นฮาลันด์ก็จะเป็นกองหน้าผู้โดดเดี่ยวแบบนี้ ไม่ได้เป็นผลดีต่อทั้งทีมและต่อตัวของเขาเลย

 

อ้างอิง:

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising