ฟุตบอลยูโร 2020 ได้คู่ชิงชนะเลิศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือคู่ชิงชนะเลิศในฝันของแฟนบอลหลายคนอย่างอิตาลีกับอังกฤษ หลังจากที่ทัพ ‘สิงโตคำราม’ ต้องออกแรง 120 นาทีในการเฉือนชัยเหนือเดนมาร์ก 2-1 เข้าไปชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เป็นครั้งแรก และพวกเขาจะได้ชิงแชมป์ที่สนามเวมบลีย์แห่งนี้ด้วย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น เรามาเก็บตกประเด็นต่างๆ เมื่อคืนที่ผ่านมากันก่อน
อังกฤษ กับบททดสอบแรกและความน่ากังขา
ไม่ได้จะบอกว่าที่ผ่านมาอังกฤษเจอกับคู่แข่งที่ไม่สมศักดิ์ศรี แต่บททดสอบแรกที่หมายถึงคือการที่ทีมชาติอังกฤษไม่เคยถูกนำไปก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว และพวกเขาแทบไม่เจอกับทีมที่ทำเกมรุกบุกใส่อย่างมีประสิทธิภาพสักเท่าไร ที่ใกล้เคียงมีแค่เยอรมนี หากแต่ในเกมที่เจอกัน ‘อินทรีเหล็ก’ ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพและฟอร์มการเล่นที่ดีเท่าที่ผ่านๆ มา ทำให้อังกฤษแทบไม่เคยเจอกับบททดสอบอย่างแท้จริงมาก่อน
ในเกมกับเดนมาร์ก สิ่งที่แฟนบอลอยากได้เห็นก็เกิดขึ้น หลังมีคำถามมากมายว่าถ้าอังกฤษโดนนำก่อนจะ ‘พัง’ หรือไม่ คำตอบก็เห็นแล้วว่าพวกเขาเอาตัวรอดได้ และเปลี่ยนจากโหมดการเล่นบอลตั้งรับเพื่อรอโต้กลับ มาเล่นฟุตบอลบุกได้อย่างน่าดูชม แม้ประตูที่ได้ในการเป็นประตูตีเสมอจะไม่ได้มาจากนักเตะของพวกเขา แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องยอมรับว่าอังกฤษทำเกมขึ้นมาได้อย่างน่าประทับใจ
อย่างไรก็ตาม จุดด่างพร้อยที่ทำให้การเข้ารอบชิงชนะเลิศของอังกฤษนั้นไม่สง่าผ่าเผยเท่าที่ควร เนื่องจากในช่วงต่อเวลามันมีปัจจัยที่น่ากังขาเยอะเกินไป ทั้งการที่กรรมการไม่ยอมเป่าหยุดเกมขณะที่มีลูกบอลในสนาม 2 ลูก ไล่มาถึงจังหวะจุดโทษอันน่ากังขาถึงความเหมาะสม แถมกรรมการก็ยังไม่มีการไปดูภาพช้าเพื่อยืนยันคำตัดสินตัวเอง ทำให้จังหวะที่ออกมามันค่อนข้างค้านสายตาอยู่ไม่น้อย แถมขณะที่ยิงจุดโทษก็มีเลเซอร์ไปส่องใส่ตาของ แคสเปอร์ ชไมเคิล ไปอีก
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้จะบอกว่าลูกที่จุดโทษสมควรได้หรือไม่ แต่มันทำให้การเข้ารอบชิงชนะเลิศของอังกฤษไม่สง่าผ่าเผยสมกับการรอคอยมาอย่างยาวนาน 55 ปี แต่ถึงอย่างนั้น ณ จุดนี้แฟนบอลและนักเตะอังกฤษก็อาจจะไม่สนใจอะไรแล้ว เพราะอย่างไรก็ตาม ทีมของพวกเขาก็ได้ชื่อว่าเอาชนะเดนมาร์กและผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมาได้ ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใด โอกาสครั้งแรกในรอบ 55 ปี ที่อังกฤษจะคว้าแชมป์เมเจอร์ระดับชาติก็มาถึงแล้ว
เดนมาร์กไม่มีอะไรให้เสียใจ แม้จะน่าเจ็บใจก็ตาม
เดนมาร์กพลาดโอกาสในการสร้างเทพนิยายภาค 2 หลังต้องตกรอบไปในรอบรองชนะเลิศหลังพ่ายต่ออังกฤษ 1-2 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ แม้จะนำไปก่อนก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นนักเตะเดนส์ก็โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมนับตั้งแต่ฟื้นคืนมาจากก้นเหวและเข้ารอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ ก่อนเก็บทีมอย่างเวลส์และสาธารณรัฐเช็กมาได้ใน 2 รอบที่ผ่านมา และสู้ได้อย่างสูสีกับอังกฤษ แม้จะต้องตกรอบไปก็ตาม
แน่นอนว่าผลงานที่ออกมาหากเจาะจงไปที่รายบุคคลเราจะเห็นนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมหลายต่อหลายราย ไล่มาตั้งแต่ ซิมง เคียร์ กัปตันทีมที่คุมสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆ นัด รวมไปถึงการควบคุมสถานการณ์ในวินาทีชีวิตของ คริสเตียน อีริกเซน ด้วย ไล่มาที่กองกลางอย่าง ปิแอร์-เอมิล ฮอยจ์เบียร์ก ก็เล่นได้อย่างโดดเด่นและมีถึง 3 แอสซิสต์ในทัวร์นาเมนต์นี้ และแนวรุกอย่าง แคสเปอร์ ดอลเบิร์ก ที่แม้นัดล่าสุดจะไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่เขาก็เป็นเสาหลักในแดนหน้าให้เดนมาร์กได้อีกนาน
อีกคนที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือ มิคเกล ดัมส์การ์ด ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในทัวร์นาเมนต์นี้ รวมถึงฟรีคิกสุดสวยที่เขายิงใส่อังกฤษในครึ่งแรกของเกมที่เวมบลีย์ ทำให้เขาเป็นคนหยุดสถิติไม่เสียประตูให้ใครของอังกฤษลง หลังจากที่ทีม ‘สิงโตคำราม’ รักษาสถิตินี้มายาวนานถึง 691 นาที และไม่ต้องแปลกใจเลยว่าหลังจากนี้เราจะได้เห็นข่าวของเจ้าหนูคนนี้มากขึ้น โดยอาจจะได้ไปลงเอยกับทีมใหญ่ก็ได้
แม้จะพ่ายแพ้ไปในรอบรองชนะเลิศ แต่เดนมาร์กไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ พวกเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยม แต่อาจจะน่าเจ็บใจสักหน่อยที่พวกเขาต้องมาเสียลูกที่จุดโทษในขณะที่ตัวรุกในทีมถูกเปลี่ยนออกไปหมดแล้ว และจุดโทษที่ว่าเกือบจะถูกป้องกันไว้ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ทีมที่น่ายกย่องชุดนี้ยังมีอนาคตไกล เราอาจจะได้เห็นพวกเขาทำผลงานอย่างน่าประทับใจในฟุตบอลโลกปีหน้าก็ได้
มองไวไปถึงเกม อิตาลี vs. อังกฤษ
นี่น่าจะเป็นเกมรอบชิงชนะเลิศในฝันของใครหลายๆ คน การได้เห็นทีมยอดนิยมอย่างอังกฤษมาเจอกับทีมใหญ่อย่างอิตาลีย่อมเป็นเกมชิงชนะเลิศที่น่าดูชมและสมศักดิ์ศรีของฟุตบอลยูโรเป็นอย่างยิ่ง อิตาลีไม่ค่อยถูกโฉลกกับรอบชิงรายการนี้เมื่อเทียบกับฟุตบอลโลก พวกเขาต้องอกหักมาใน 2 ครั้งหลังสุดที่เข้ามาชิงรายการนี้ ทั้งในปี 2000 ที่โดนโกลเดน โกล ของ ดาวิด เทรเซเกต์ และปี 2012 ที่พ่ายสเปนแบบหมดรูป 0-4 ขณะที่อังกฤษไม่เคยเดินทางมาถึงเกมชิงชนะเลิศฟุตบอลรายการนี้มาก่อน ทำให้ยังเป็นการยากที่จะอ้างอิงอะไรในตอนนี้
โดยก่อนหน้านี้คู่นี้เจอกันมา 27 ครั้งในทุกรายการ อิตาลีชนะมากกว่า 11 ครั้ง และอังกฤษชนะ 8 ครั้ง เสมอกันอีก 8 ครั้ง สิ่งที่น่าสนใจคือ อิตาลีไม่เคยแพ้อังกฤษเลยในการแข่งขันฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ พวกเขาเอาชนะ ‘สิงโตคำราม’ ได้ทั้งในยูโร 1980 1-0 จากประตูท้ายเกมของ มาร์โก ทาร์เดลลี, ยูโร 2012 ก็เอาชนะจุดโทษ 4-2 หลังเสมอกันในเวลาแบบไร้สกอร์ ขณะที่ในฟุตบอลโลก อิตาลีก็เอาชนะไปในฟุตบอลโลก 1990 ในเกมชิงที่ 3 ด้วยสกอร์ 2-1 และในเกมรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2014 ก็เอาชนะไปได้ด้วยสกอร์เดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมว่าทั้งอิตาลีและอังกฤษในชุดนี้ก็มีอะไรที่แตกต่างจากอิตาลีกับอังกฤษในอดีต จนมีการพูดถึงว่า “จะได้เห็นอิตาลีเล่นเหมือนอังกฤษ และอังกฤษเล่นเหมือนอิตาลี” ในรอบชิงชนะเลิศปีนี้ด้วยซ้ำไป
ดังนั้น อะไรที่เคยเกิดขึ้นอาจจะเอามาใช้อ้างอิงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งที่พอจะเดาได้เลยคือ เกมรอบชิงชนะเลิศนัดนี้จะเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่และสนุกอย่างแน่นอน
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกม
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/news/026b-12af0bc8f078-5c234c40e225-1000–final-italy-vs-england-denmark/
- https://www.uefa.com/uefaeuro-2020/match/2024490–england-vs-denmark/
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12351047/england-2-1-denmark-player-ratings-from-euro-2020-semi-final-clash
- https://www.skysports.com/football/england-vs-denmark/report/421531