21 สิงหาคม สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดโอกาสให้แกนนำเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) นำโดย รสนา โตสิตระกูล อดีต สว. สรรหา, ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี นักวิชาการด้านพลังงาน และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้าพบเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานของประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเปิดเผยว่า ในฐานะผู้กำหนดนโยบายพลังงาน ยินดีและพร้อมเปิดรับฟังทุกความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายพลังงานจากทุกๆ ฝ่ายอยู่แล้ว เพราะความเห็นต่างไม่จำเป็นต้องเป็นความขัดแย้งเสมอไป ซึ่งหากเป็นข้อคิดเห็นที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยทุกคน และสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ก็พร้อมที่จะนำทุกข้อคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาปรับใช้ให้เหมาะสม และเปิดกว้างให้กลุ่มได้มาร่วมเป็นที่ปรึกษาให้กับกระทรวงพลังงานด้วย
สำหรับการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่ม คปพ. ในวันนี้มีข้อเสนอแนะ 5 ประเด็น คือ 1. การจัดการผลประโยชน์ปลายน้ำ ราคาน้ำมัน ราคาก๊าซในประเทศ และผลกระทบต่อประชาชน 2. การจัดการผลประโยชน์ต้นน้ำระหว่างประเทศ กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา 3. การจัดการผลประโยชน์ต้นน้ำในประเทศ Producting Sharing Contact 4. การแยกเป็น PTTOR แบ่งผลประโยชน์กระทรวงการคลังกับผู้ถือหุ้น และเลี่ยงกฎหมายรัฐวิสาหกิจ 5. การผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. 51% ไม่เป็นธรรม
ประเด็นราคาขายปลีกพลังงาน คปพ. นำเสนอให้แก้ปัญหาที่โครงสร้างราคาแทนการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุน เพราะกองทุนน้ำมันฯ ก็นำเงินมาจากประชาชน สุดท้ายประชาชนเป็นผู้จ่ายแพงอยู่ดี โดยเสนอให้ลดต้นทุนที่เป็นค่าขนส่งเทียม โดยยกเลิกการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งปัจจุบันอิงราคาสิงคโปร์บวกค่าขนส่งในการนำเข้า ซึ่งจะลดต้นทุนขนส่งได้ 50-60 สตางค์/ลิตร และปัจจุบันการกลั่นน้ำมันในไทยเกินความต้องการจนต้องส่งออกไป ควรลดกำลังการกลั่น ทบทวนบริหารผลประโยชน์ระหว่างโรงกลั่นกับประชาชน โรงกลั่นไม่ควรได้สิทธิประโยชน์มากเกินไป
ราคาเอทานอลและไบโอดีเซล (B100) การส่งเสริมยิ่งทำให้ราคาปลายทางแพงขึ้น การอ้างอิงราคาเอทานอลของไทยทำให้ราคาเอทานอลไทยแพงกว่าตลาดโลก ทำให้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ มาอุดหนุน ขณะที่ราคาเอทานอลไทยแพงกว่าบราซิล 70% แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับตกกับผู้ประกอบการไม่ถึงมือเกษตรกร เสนอให้ประชาชนสามารถผลิตและขาย B100 ได้โดยตรง ควรกระจายธุรกิจพลังงานสู่ชุมชน และยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ในขณะที่โรงงานผลิตเอทานอล ไบโอดีเซล ซึ่งคุ้มทุนแล้ว รัฐควรมีระยะเวลาในการให้สิทธิประโยชน์ ไม่ได้ให้ไปตลอด
สนธิรัตน์กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า กระทรวงพลังงานเริ่มจะปรับการใช้ B7 และปรับโครงสร้างน้ำมันดีเซลใหม่ โดยสนับสนุน B10 และ B20 แก้ปัญหาการลักลอบปาล์มน้ำมัน กำหนดผู้ผลิตลงทะเบียนในระบบ ซึ่งแม้ว่าสุดท้ายแล้วราคาปลายทางอาจจะแพงขึ้นได้ แต่ผลประโยชน์ต้องตกกับประชาชนด้วย โดยกระทรวงฯ จะกำหนดสิทธิประโยชน์โดยดูเรื่องผลประโยชน์ต่อเกษตรกร และรับประกันว่าจะสามารถบริหารสมดุลด้าน Supply และ Demand ได้ โดยมอบ ปตท. คิดกลไกเพื่อให้ได้ราคาที่เกษตรกรอยู่ได้ โดยที่ด้านกระทรวงพาณิชย์เองก็ต้องประกันปริมาณปาล์มไม่ให้ขาดแคลนด้วย
ทั้งนี้ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล กล่าวว่า หากรัฐต้องการใช้ความแข็งแรงของ ปตท. เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชน โดยการเพิ่มบทบาทของ ปตท. จะต้องมีการตรวจสอบและสร้างความดุลในอำนาจหน้าที่
ประเด็นก๊าซหุงต้ม ปัจจุบันประสบปัญหา 3 ข้อ คือ 1. ภาคปิโตรเคมีใช้มากเกินไป 2. ราคาอ้างอิงราคานำเข้าทั้งที่ผลิตได้เองมากในประเทศ 3. ปตท. ผูกขาด โดยเสนอแนวทางแก้ไขคือ 1. จัดลำดับความสำคัญให้ประชาชนได้ใช้ก่อน 2. ปรับกลับมาใช้ระบบ Pool
ประเด็นการประมูลแหล่งเอราวัณ-บงกช ระบุว่า ขอให้มีการตรวจสอบกลไกการประมูลแหล่งเอราวัณ-บงกช เพราะระบบ PSC ที่นำมาใช้ในการประมูลเป็นระบบ PSC จำแลง ทำให้รัฐเสียประโยชน์ ได้ค่าภาคหลวงน้อยลง นอกจากนี้บริษัทที่เข้าร่วมการประมูลอย่างบริษัทเชฟรอน ก็มีประวัติด่างพร้อยเรื่องค้าน้ำมันเถื่อน จึงไม่ควรมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมประมูล ส่วนบริษัท ปตท.สผ. ที่ชนะการประมูล ก็เป็นผู้ที่ครอบครองท่อก๊าซเชฟรอน สุดท้ายผู้ที่ได้ประโยชน์จากการผลิตก๊าซทั้ง 2 แหล่งภาคปิโตรเคมี ที่ไม่ได้จ่ายอะไรเลย แต่กลับได้ใช้ก๊าซในราคาถูก และรัฐก็ไม่ควรยกเลิกสิทธิ์ 25% ของรัฐในการร่วมสำรวจระบบ PSC
นอกจากนี้ทาง คปพ. ยังระบุถึงความไม่เหมาะสมกรณีที่ข้าราชการเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารในรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชน เพราะมองว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
กรณี กฟผ. มองว่า แม้จะไม่ถูกแปรรูป แต่มีการเข้าไปล้วงลูก และเข้าไปทำประกันกำไรให้นักลงทุน ส่วนประชาชนเป็นผู้แบกรับการประกันกำไร
ด้าน รสนา โตสิตระกูล กล่าวสนับสนุนโครงการพลังงานหมุนเวียนของกระทรวงพลังงานที่รัฐมนตรีฯ วางไว้ให้ตอบโจทย์ 3 เรื่องคือ ลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยลดโลกร้อน และเรื่อง AI ส่วนเรื่องการสนับสนุนระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) มองว่า รัฐตั้งภาษีแพงเกินไป พร้อมทั้งเสนอให้วางรากฐานให้ประชาชนเข้าถึงพลังงาน โดยเสนอให้รัฐมนตรีฯ วางพื้นฐานให้คนเข้าถึงพลังงาน โดยใช้ Disruptive Technology และระบบ Net Metering สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าโครงการโซลาร์รูฟท็อปในราคา 1.68 บาท/หน่วย มองว่าเป็นราคาที่ไม่จูงใจ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า