×

หุ้นกลุ่มพลังงาน – น่าสนใจมากขึ้นเพราะราคาน้ำมันสูงขึ้น

19.09.2023
  • LOADING...

เกิดอะไรขึ้น:

 

กำไร 2H66 จะฟื้นตัวเพราะราคาน้ำมันและ GRM สูงขึ้น โดยคาดว่าผลประกอบการของบริษัทน้ำมันและก๊าซจะปรับตัวดีขึ้น QoQ ใน 3Q66 เพราะราคาน้ำมันและ GRM สูงขึ้น ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9%QoQ สู่ 85.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ใน 3Q66TD โดยได้แรงหนุนจากการลดการผลิตโดยสมัครใจของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งมีผลในเดือนสิงหาคม ปฏิกิริยาตอบรับของตลาดต่อการปรับลดการผลิตครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนมากกว่าครั้งก่อน โดยมีสาเหตุมาจากการขยายระยะเวลาปรับลดอุปทานออกไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566

 

ในขณะที่อุปสงค์ตามฤดูกาลที่สูงขึ้นได้กระตุ้นความต้องการเติมสต๊อกก่อนฤดูหนาว ซึ่งเป็นบวกต่อ PTTEP เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ชนิดเหลว (น้ำมันและคอนเดนเสท) ที่สูงขึ้นน่าจะช่วยชดเชยราคาก๊าซที่ลดลงได้ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นยังมีแนวโน้มที่จะหนุนให้กำไรของผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นผ่านทางกำไรสต๊อกอีกด้วย

 

ทั้งนี้ ประเมินว่าส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันปัจจุบันที่ ±95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับราคาเฉลี่ยในเดือนมิถุนายน 2566 ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้มีกำไรสต๊อกเกือบ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะบวกเพิ่มเข้าไปใน Market GRM ที่ 9.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้น 137%QoQ) โดยจะทำให้ GRM โดยรวมอยู่ที่ 16.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เทียบกับ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลใน 1H66 ธุรกิจการตลาดจะได้รับการสนับสนุนจากกำไรสินค้าคงเหลือสืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น QoQ

 

สมมติฐานราคาน้ำมันปี 2566 มี Upside เล็กน้อย ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 27%QTD ใน 3Q66 หลังจากลดลงอย่างต่อเนื่องใน 1H66 โดยมีสาเหตุมาจากการลดการผลิตโดยกลุ่ม OPEC+ และผู้ผลิตนอกกลุ่ม ซึ่ง IEA ประเมินว่าอุปทานน้ำมันทั้งปี 2566 จะเพิ่มขึ้นเพียง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เทียบกับอุปสงค์ที่เติบโต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 101.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยลดลง 24%YoY สู่ 81.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล YTD แม้ว่าความผันผวนลดลงมาบ้างแล้ว ราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือของปี 2566 มีแนวโน้มทรงตัวที่ระดับสูงกว่าในอดีต (เหนือ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล) โดยมีสาเหตุมาจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการลดการผลิตอย่างต่อเนื่องของซาอุดีอาระเบียและรัสเซียอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2566 ขณะเดียวกัน อุปสงค์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องสืบเนื่องมาจากการเก็บสต๊อกน้ำมันในฤดูหนาวและความต้องการเดินทางมากขึ้น

 

สำหรับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลมีน้อยมาก ซึ่งมาตรการระยะสั้นอย่างแรกของรัฐบาลใหม่เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน คือการลดราคาน้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร (เริ่ม 20 กันยายน) ผ่านทางการลดภาษีสรรพสามิต นอกจากนี้ยังมีข่าวว่ารัฐบาลอาจพิจารณาลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน โดยจะลดค่าการตลาดน้ำมันเบนซินจากระดับเฉลี่ย 3.15 บาทต่อลิตร ซึ่งยังไม่ได้รับการยืนยัน

 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลยังสามารถลดภาษีสรรพสามิตลงได้อีกเพื่อตรึงราคาขายน้ำมันดีเซลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ผลิตน้ำมันเมื่อพิจารณาจากอัตราภาษีสรรพสามิตปัจจุบันที่ 5.99 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเหลือ 1.34 บาทต่อลิตรของรัฐบาลชุดก่อนสิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม และหลังจากนั้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลก็กลับคืนสู่ระดับปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจต้องติดตามนโยบายการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี แม้คาดว่าผลกระทบต่อโรงกลั่นในประเทศจะมีจำกัดเนื่องจากราคาปัจจุบันอิงตามกลไกตลาดเสรี

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มหลังงาน (SETENERG) ปรับลง 1.22%MoM, BCP ปรับขึ้น 6.54%MoM และ PTTEP ปรับขึ้น 3.72%MoM ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 1.40%MoM

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

 

Sentiment ตลาดต่อบริษัทน้ำมันและก๊าซ (O&G) ไทยปรับตัวดีขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% Outperform SET ที่ -1% และ SETENERG ที่ +3% ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกต่อราคาน้ำมันและค่าการกลั่น (GRM) ที่สูงขึ้นใน 3Q66 และคาดว่าผลประกอบการ 3Q23 จะฟื้นตัวแรง QoQ โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่ผลกระทบเชิงลบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จะยังมีน้อยในระยะสั้น

 

สำหรับหุ้นเด่นในธุรกิจน้ำมันและก๊าซเลือกเป็น BCP (เรตติ้ง Outperform ด้วยราคาเป้าหมาย 51 บาทต่อหุ้น) เนื่องจากมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายธุรกิจและคาดกำไรปี 2566 แข็งแกร่ง แม้ว่าจะลดลง 45% โดยมีสาเหตุมาจาก GRM และราคาก๊าซที่สูงผิดปกติในปี 2565 และ GRM ที่อ่อนแอใน 2Q66 การกระจายการลงทุนในหลากหลายธุรกิจช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน อีกทั้งยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกำไรในระยะยาวของ BCP โดยมี ESSO เป็นตัวขับเคลื่อนใหม่สำหรับธุรกิจกลั่นน้ำมัน การลงทุนในธุรกิจ E&P จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนกำไรที่สำคัญ เนื่องจากจะทำให้บริษัทได้ประโยชน์จากตลาดน้ำมันและก๊าซที่แข็งแกร่งของยุโรปเพื่อทดแทนอุปทานจากรัสเซีย

 

ปัจจุบันราคาหุ้น BCP ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 16% จากช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และ 29%YTD Outperform หุ้นโรงกลั่นอื่นๆ และ SETENERG แต่ Valuation ยังอยู่ในระดับต่ำที่ PBV (ปี 2566) 0.8 เท่า หรือระดับ -0.8SD

 

ส่วนหุ้น PTTEP ก็จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการขาย 28% เป็นน้ำมันดิบและคอนเดนเสทซึ่งราคาขายเชื่อมโยงกับราคาน้ำมัน หลักๆ เป็นราคาน้ำมันดิบดูไบ ค่า Correlation ระหว่างราคาหุ้น PTTEP กับราคาน้ำมันที่ 84% อาจจะทำให้นักลงทุนต้องการเข้าซื้อหุ้น PTTEP เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ Upside ต่อประมาณการกำไรปี 2566 มีจำกัดเมื่อพิจารณาจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF (สิ้นปี 2566) สำหรับ PTTEP อยู่ที่ 185 บาทต่อหุ้น อิงกับราคาน้ำมันดิบดูไบระยะยาวที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และเบรนท์ที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2568

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือราคาน้ำมัน GRM และอัตราแลกเปลี่ยนผันผวน การเปลี่ยนแปลงความชอบที่ผู้บริโภคมีต่อเชื้อเพลิงฟอสซิล และการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านกฎระเบียบเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงภาษีคาร์บอนและคาร์บอนเครดิต

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising