×

งานวิจัยสะท้อน ‘บุคลากรห้องฉุกเฉิน’ ในสถานการณ์โควิด เครียดสะสม ส่งผลคุณภาพชีวิตแย่ ความเป็นมืออาชีพลด

โดย THE STANDARD TEAM
27.12.2021
  • LOADING...
บุคลากรห้องฉุกเฉิน

การแพร่ระบาดของโควิดได้สร้างผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อบุคลากรทางการแพทย์ ‘ด่านหน้า’ ทั้งด้านปริมาณภารกิจของการทำหน้าที่รักษาเยียวยาผู้ป่วยจากโควิด รวมทั้งผู้ป่วยโรคอื่นๆ ในขณะที่บุคลากรเหล่านี้ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการติดเชื้อร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ในห้องฉุกเฉินของทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน ที่ต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลาซึ่งหมายถึงการเร่งยื้อชีวิตช่วยเหลือผู้ป่วยให้ทันท่วงที ที่ความเสี่ยงของการรับเชื้อโควิดมีอยู่รายรอบทุกขณะของการปฏิบัติหน้าที่ที่อาจหลีกเลี่ยงได้  

 

จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดนับจากเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2564 มีจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทั่วประเทศ 1,600,918 ราย และยังมีจำนวนเหตุที่ได้รับแจ้งมากถึง 1,555,258 เหตุ รวมแล้วบุคลากรแพทย์ในห้องฉุกเฉินได้ปฏิบัติการกู้ชีพ 1,586,971 ปฏิบัติการด้วยกัน

 

เพราะความกังวลที่ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่จะต้องเสี่ยงรับเชื้อ แต่มันหมายถึงการที่ต้องหยุดพักงาน และทำให้ต้องสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งคือผู้ดูแลรักษาชีวิตผู้ป่วยอีกหลายต่อหลายคนในช่วงเวลาหนึ่งไปด้วย

 

นักวิจัยเครือข่ายสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดร.พัชร์วลีย์ นวลละออง และ นพ.ภคพล เอี่ยมไพบูลย์พันธ์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง ‘การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ในเขตพื้นที่ EEC’ ที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวรส. ได้นำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นต่อ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข และได้ตอบคำถามข้อกังวลต่างๆ ของบุคลากรทางการแพทย์และผู้ทรงคุณวุฒิที่เข้ามาร่วมรับฟังผลการศึกษา ซึ่งทำให้เห็นภาพความต้องการและข้อกังวลสำคัญของแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินของทั้งโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนได้ชัดเจนขึ้น 

 

การนำเสนอครั้งนี้มีประเด็นสำคัญที่พบว่า การทำงานของแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินส่งผลทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้า ส่งผลไปถึงการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพลดลง

 

ทีมนักวิจัยได้เสนอมาตรการจัดการ แบ่งเป็นมาตรการระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้ 

 

  • มาตรการระยะสั้น  ได้แก่ การจัดตารางเวรให้เหมาะสมกับงาน หากมีข้อจำกัดเรื่องอัตรากำลังจะทำให้มีปริมาณงานที่หนักซึ่งส่งผลต่อความเครียดสะสม เน้นการเสริมแรงทางบวก โดยการสื่อสารให้ทราบถึงความจำเป็น และขอความร่วมมือให้ร่วมแรงร่วมใจ จัดหาอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัย (PPE) เพียงพอและมีคุณภาพ รวมทั้งองค์กรมีการกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันเมื่อเกิดวิกฤต สร้างระบบการทำงานที่ปลอดภัยตั้งแต่ก่อนรับผู้ป่วย ระหว่างรับ และรับผู้ป่วยเพื่อรักษา เพื่อลดความกังวลใจทุกครั้งของการปฏิบัติหน้าที่ 

 

  • มาตรการระยะยาว ได้แก่ นโยบายการบริหารอัตรากำลังและการวางแผนอัตรากำลังที่เหมาะสมทันต่อสถานการณ์ มีการพยากรณ์อัตรากำลังตามอุปสงค์โดยใช้หลักการบริหารคาดการณ์ รวมไปถึงการสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง โดยทีมสามารถจัดการแก้ไขปัญหาหน้างานได้ลุล่วง องค์กรมีความเป็นธรรมในการพิจารณาให้ผลตอบแทนหรือรางวัล สิ่งที่สำคัญอย่างมากคือ องค์กรต้องมีแผนในการบริหารจัดการอุปกรณ์ป้องกันเชื้อที่มีคุณภาพ นโยบายการบริหาร และการสนับสนุนขวัญและกำลังใจ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและการสื่อสารเชิงบวก ให้ความรู้เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคระบาด เพื่อสร้างความมั่นใจเกี่ยวกับปัญหาผู้ป่วยติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ไม่ยาก เป็นต้น 

 

ข้อมูลจาการศึกษาครั้งนี้จะต้องถูกสังเคราะห์ออกมาเป็นต้นแบบสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตแพทย์และพยาบาล ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลสามารถปรับใช้ให้สอดคล้องกับนโยบายและวัฒนธรรมองค์กร 

 

ดร.สาธิตกล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิดเราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง กระทั่งมีผู้วิจัยได้สนใจการทำวิจัยเรื่องภาวะการหมดไฟของบุคลากรทางการแพทย์ในห้องฉุกเฉิน ซึ่งต้องยอมรับว่า แต่เดิมคนที่เครียดมากในช่วงแรกของการแพร่ระบาดคือประชาชน แต่หลังจากนั้นคนที่เครียดมากกว่าคือบุคลากรทางการแพทย์ และพบว่ามีการฆ่าตัวตายในบางกรณีด้วย ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกับภาวะความเครียดของบุคลากรทางการแพทย์ และงานวิจัยชิ้นนี้นับว่ามีประโยชน์อย่างมากต่อบุคลากร อีกทั้งในช่วงโควิดระบาด เราควรมีการรวบรวมงานวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบสาธารณสุขของประเทศไทย

 

ดร.สาธิตกล่าวอีกว่า สวรส. เป็นหน่วยงานมหาชนที่อยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้สนับสนุนงานวิจัยที่ช่วยให้ระบบสาธารณสุขของประเทศไทยดียิ่งขึ้น และงานวิจัยชิ้นนี้นับได้ว่าเป็นงานที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม ขอให้งานวิจัยนี้มีคุณภาพ และขอเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของห้องฉุกเฉิน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญตลอดมา และหวังว่างานวิจัยชิ้นนี้จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อบุคลากรทางการแพทย์ของเราต่อไปในอนาคต

 

หลังรับฟังการนำเสนอความคืบหน้าของการวิจัย นพ.นพพรกล่าวเสริมว่า เชื้อโควิดมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นมหาวิกฤตทางสาธารณสุขระดับโลก ผลกระทบจากโควิดทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก และตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิดจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น เนื่องด้วยว่าการติดเชื้อของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล บุคลากรการแพทย์ไม่เพียงพอ 

 

ขณะเดียวกัน ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าทั้งแพทย์และพยาบาลในห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับเชื้อโรคได้ง่าย ทั้งขั้นตอนกระบวนการทำงานที่สลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน เกิดภาวะความบีบคั้นทางใจ เกิดความเครียด เหนื่อยล้า ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงมีความจำเป็นต้องสร้างมาตรการเฉพาะเจาะจงเพื่อป้องกันคุ้มครองแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินให้เกิดความมั่นใจ โดยให้มีแผนการผลิตบุคลากรที่เพียงพอ พร้อมกับพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้ผู้ป่วยหรือผู้รับบริการมีความมั่นใจในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ

 

“สวรส. ได้พัฒนางานวิจัยที่สำคัญๆ ในเชิงคลินิกที่เกี่ยวกับเรื่องของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตยารักษา วัคซีน เรื่องของการใช้พลาสมา จนไปถึงการเข้าถึงระบบบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กันไปกับงานวิจัยเชิงคลินิกนั้นก็คือ การไม่มองข้ามปัญหาและอุปสรรคของบุคลากรด่านหน้าที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ เพื่อค้นหาปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตแพทย์และพยาบาลห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดในเขตพื้นที่ EEC ตลอดจนพื้นที่อื่นๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมนักวิจัยกำลังดำเนินการ โดยจะได้นำไปสู่ข้อเสนอ แนวทาง หรือรูปแบบที่จะสามารถนำไปปฏิบัติและพัฒนาระบบสุขภาพในภาพรวมได้ต่อไป” นพ.นพพรกล่าว 

 

อ้างอิง: 

  • รายงานสถิติการแพทย์ฉุกเฉิน สำนักระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X