×

‘เอลกลาซิโก’ นัดตัดสินแชมป์ลาลีกา ฤดูกาล 2022/23?

19.03.2023
  • LOADING...

นับจากที่ไม่มี คริสเตียโน โรนัลโด และ ลิโอเนล เมสซี ลงประชันฝีเท้ากันตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ดูเหมือนมหาสงครามลูกหนัง ‘เอลกลาซิโก’ (El Clasico) ก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย

 

ความเข้มข้น เร้าใจ การขับเคี่ยวที่ไม่มีใครยอมใครระหว่างสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการฟุตบอลสเปนอย่างบาร์เซโลนา และเรอัล มาดริด ลดทอนความน่าสนใจลงไปตามลำดับ โดยเฉพาะเมื่อบาร์ซาเดินหน้าเข้าสู่ยุคมืดที่ต้องเสียแม้แต่นักเตะที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างเมสซีไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

 

แต่ในฤดูกาลนี้เรากำลังจะได้ชมเกม ‘เอลกลาซิโก’ ที่มีความหมายอีกครั้ง เพราะการพบกันที่คัมป์นูในคืนวันอาทิตย์นี้ถูกจับตามองว่าจะเป็นเกมที่ตัดสินแชมป์ลาลีกาในฤดูกาล 2022/23 ได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะหากฝ่ายบาร์ซาเป็นผู้คว้าชัยชนะในเกมนี้ได้

 

ช่วงเวลาของความเจ็บปวดตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ไม่ได้แชมป์ลีกตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19 ก็จะเป็นอันสิ้นสุดลง และทำให้โปรเจกต์การคืนชีพทีมเบลากรานา ของ โจน ลาปอร์ตา ประธานสโมสรคนปัจจุบันที่กลับมากอบกู้สโมสรสำเร็จในขั้นต้น

 

ว่าแต่สถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไร?

 

ทบทวนกันอีกครั้งว่าเวลานี้บาร์เซโลนานำค่อนข้างห่างในตารางคะแนนลาลีกา โดยหลังจากที่ลงแข่งไปแล้ว 25 นัด พวกเขานำหน้าเรอัล มาดริด แชมป์เก่าอยู่ 9 คะแนนด้วยกัน

 

สถานการณ์นี้ทำให้บาร์ซามีโอกาสที่จะหนีไปเป็น 12 คะแนนได้ หากทีมของ ชาบี เอร์นานเดซ สามารถล้างตา ‘ราชันชุดขาว’ ภายใต้การนำของ คาร์โล อันเชล็อตติ ในเกมลีกได้ หลังจากที่เคยเสียทีไปก่อนในการพบกันครั้งแรกที่ซานติอาโก เบร์นาเบว

 

แต่ในทางกลับกัน เกมนี้คือโอกาสที่มาดริดรอคอยเช่นกัน เพราะหากพวกเขาบุกมาเก็บชัยชนะได้ถึงที่คัมป์นู นั่นหมายถึงระยะห่างจะลดลงเหลือแค่ 6 คะแนน กับจำนวนเกมที่เหลืออีก 12 นัดสุดท้าย โอกาสจะตามทันหรือไล่แซงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

 

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ดีงามที่สุดสำหรับเอลกลาซิโกครั้งนี้ ไม่ได้อยู่แค่เรื่องของสถานการณ์ที่มีผลต่อการขับเคี่ยว หากแต่เป็นเรื่อง ‘คุณภาพ’ ของสองทีมที่ขยับกลับเข้ามาใกล้เคียงในระดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สิ้นยุค ‘เมสซี vs. โรนัลโด’

 

ส่วนหนึ่งต้องยกให้เป็นเครดิตของลาปอร์ตา ที่พยายามทำทุกอย่างในการที่จะหาทางทำให้บาร์ซากลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งและมีโอกาสอีกครั้งให้ได้ โดยเฉพาะการตัดสินใจครั้งสำคัญในการดึง ชาบี เอร์นานเดซ ฮีโร่ของสโมสรกลับมาอีกครั้งในฤดูกาลที่แล้ว

 

การกลับมาของชาบีอาจจะนำมาซึ่งคำถามไม่น้อยต่อเรื่องความสามารถของตำนานมิดฟิลด์อัจฉริยะในยุคทองที่นำบาร์ซาครองโลกด้วยฟุตบอลสไตล์ ‘Tiki-taka’ ซึ่งที่แท้ก็คือปรัชญาการเล่นที่ถูกปลูกฝังจาก โยฮัน ครัฟฟ์ ปราชญ์ลูกหนังผู้วางรากฐานให้บาร์ซานั่นเอง แต่ถูกนำมาตีความใหม่ให้ทันสมัยขึ้นในแบบของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นทายาททางปรัชญาของครัฟฟ์อีกทอด (แม้ว่าเป๊ปจะไม่ชอบคำว่า Tiki-taka ซึ่งเป็นคำที่นักข่าวเรียกกันขึ้นมาเองเลยก็ตาม)

 

เครื่องหมายคำถามของชาบีเกิดขึ้นเพราะเขาไร้ซึ่งประสบการณ์ในการทำงานในระดับลีกท็อปไฟว์ของยุโรป ผ่านการคุมทีมเพียงแค่ อัล ซาดด์ ซึ่งเป็นสโมสรที่อยู่ในลีกกาตาร์ ประเทศที่กลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับเขา หลังตัดสินใจอำลาสโมสรเมื่อถึงเวลาอันควร

 

แต่การตัดสินใจของลาปอร์ตาถือว่าไม่ผิด และกลายเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของสิ่งดีๆ ที่หวนกลับมาอีกครั้ง โดยแม้ว่าผลงานของบาร์ซาในยุคของชาบีจะไม่ได้ดูหวือหวามากมายนัก แต่ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

 

เมื่อรวมกับการสนับสนุนแบบสุดตัวของประธานใจใหญ่อย่างลาปอร์ตา ที่ถึงสโมสรจะเผชิญภาวะวิกฤตทางการเงินขั้นร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็ยังหาทางทำให้ทีมสามารถเสริมทัพด้วยนักเตะระดับชั้นนำมากมายในฤดูกาลนี้อย่าง 

 

 

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี, ราฟินญา, ฌูลส์ กุนเด, อันเดรียส คริสเตนเซน, แฟรงค์ เคสซี, มาร์กอส อลอนโซ ถูกดึงเข้ามา แม้ว่าจะหมายถึงการที่สโมสรต้องเดิมพันครั้งใหญ่กับ ‘อนาคต’ ด้วยการใช้มาตรการฉุกเฉินทางการเงินที่สร้างความฮือฮาอย่าง ‘Economic Lever’ หรือ ‘คานทางเศรษฐกิจ’ ที่ลาปอร์ตาเรียกเพื่อระดมทุนครั้งใหญ่ปลดเปลื้องสโมสรจากพันธนาการที่เกิดจากการบริหารสโมสรจนย่ำแย่ของกลุ่มผู้บริหารชุดก่อนจนติดกับกฎทางการเงินของลาลีกา ที่ทำให้แทบกระดิกตัวไม่ได้ (ไม่สามารถแม้แต่จะเก็บเมสซีเอาไว้กับทีม)

 

การได้นักเตะระดับท็อปเข้ามามากมายเมื่อรวมกับของดีที่พอมีอยู่อย่าง เปดรี, กาบี, แฟรงกี เดอ ยอง, โรนัลด์ อาเราโฮ, มาร์ค-อันเดร แทร์ สเตเกิน, อุสมาน เดมเบเล หรือแมวเก้าชีวิตอย่าง เซร์คิโอ บุสเกตส์ และ จอร์ดี อัลบา ทำให้บาร์ซาค่อยๆ ฟื้นอีกครั้ง

 

การฟื้นคืนชีพของพวกเขาไม่ได้หวือหวาแต่แน่นอน โดยสิ่งที่เป็นตัวพิสูจน์คือเกมรับที่ผ่านมา 25 นัดเพิ่งจะเสียไปแค่ 8 ประตูเท่านั้น เป็นสถิติที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีของบาร์ซาในเวลานี้ และอาจจะเป็น ‘ลายเซ็น’ ในแบบของชาบีเองที่ไม่ได้เน้นเรื่องของฟุตบอลเกมรุกบุกแหลกเหมือนในยุคของเป๊ป แต่เน้นการคอนโทรลเกมและความเหนียวแน่นในเกมรับเป็นหลักก่อน

 

ในขณะที่มาดริดเองไม่ได้เผชิญกับช่วงวิกฤตในระดับเดียวกับที่บาร์ซาเผชิญ แต่ค่อนข้างชัดเจนว่าผลงานในลาลีกาฤดูกาลนี้ของพวกเขาไม่ได้โดดเด่นเหมือนยามเล่นในรายการโปรดอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่ล่าสุดก็เพิ่งย้ำแค้นคู่ปรับเก่าอย่างลิเวอร์พูลได้อีกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 2 นัด 6-2 

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า โลส เมเรงเกส จะเป็นทีมที่ด้อยกว่าถึงขนาดนั้น เพราะ คาริม เบนเซมา ยังอยู่ และยังมี วินิซิอุส จูเนียร์, เฟเดริโก วัลเวร์เด, ลูกา​ โมดริช, โทนี โครส ไปจนถึง โอเรเลียง ชูอาเมนี และ เอดูอาร์โด คามาวิงกา ที่เป็นสายเลือดใหม่ และแนวรับที่แข็งแกร่งอย่าง เอแดร์ มิลิเตา, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, นาโช, ดานี การ์บาฆาล และ ติโบต์ กูร์ตัวส์

 

วัดกันไม่ได้เป็นรองอยู่แล้วบนหน้ากระดาษ

 

 

แต่จุดที่น่าสังเกตคือ ในการพบกันในฤดูกาลนี้ หลังจากที่มาดริดเอาชนะได้ 3-1 ที่เบร์นาเบว ในเกมลาลีกาเมื่อต้นฤดูกาล การพบกันอีก 2 นัดจากนั้นในรายการซูเปร์โกปาเดเอสปัญญา เมื่อเดือนมกราคมที่ซาอุดีอาระเบีย ปรากฏว่าบาร์ซาเอาชนะได้ 3-1

 

และล่าสุดในศึกโกปา เดล เรย์ รอบรองชนะเลิศเกมแรกเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บาร์ซาก็บุกไปล้างตาได้ถึงเบร์นาเบว 1-0 โดยเอแดร์เป็นคนทำเข้าประตูตัวเอง

 

มันชวนให้คิดว่าตอนนี้อาจจะเป็นช่วงเวลาที่บาร์ซาจะเอาคืน และทวงคืนสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหรือไม่?

 

ข่าวดีสำหรับชาบีและแฟนบาร์ซาคือการที่เปดรี ที่บาดเจ็บไปก่อนหน้านี้มีโอกาสจะกลับมาอีกครั้งในเกมนัดนี้พอดี ซึ่งหมายถึงบาร์ซาจะฟูลทีมชนกับมาดริดที่ก็แทบไม่ได้มีปัญหาตัวผู้เล่นบาดเจ็บอะไรเช่นกัน 

 

นั่นหมายถึงเราน่าจะได้ดูการดวลกันที่สมน้ำสมเนื้อและสมกับเป็นศึก ‘เอลกลาซิโก’ อีกครั้ง

 

เลวานดอฟสกี vs. เบนเซมา

 

เปดรี vs. โมดริช

 

กาบี vs. คามาวิงกา

 

โดยมีแชมป์ลาลีกาฤดูกาลนี้เป็นเดิมพัน – น่าดูอยู่ว่าไหม 🙂

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising